โดย : แมวลาย
วันที่สองของการท่องเที่ยวในมณฑลกวางตุ้ง เราเดินทางกันไปต่อที่เมือง "ฝอซาน" เมืองสำคัญอีกเมืองหนึ่งในมณฑลกวางตุ้ง ที่เมืองนี้ก็มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอย่าง "เขาซีเฉียว" (Xiqiao Hill) ภูเขาซึ่งตั้งอยู่ในเขตหนานไห่ของเมืองฝอซาน โดยภูเขาซีเฉียวนี้มีทัศนียภาพที่งดงาม มียอดเขาถึง 72 ยอด มีถ้ำ 42 แห่ง รวมไปถึงสระน้ำ น้ำพุและน้ำตกที่สวยงาม สมกับที่เป็นอุทยานแห่งชาติของประเทศจีน
เมื่อมาที่ภูเขาแห่งนี้แล้ว สิ่งที่ไม่ควรพลาดชมก็คือการขึ้นไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมบนยอดเขา เจ้าแม่กวนอิมองค์นี้เป็นเจ้าแม่กวนอิมปางสมาธิ ทำจากโลหะ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนยอดเขา มองเห็นได้จากทุกทิศทาง จากลานเบื้องล่างนั้นก็สามารถจุดธูปกราบไหว้เจ้าแม่กวนอิมได้ แต่เพื่อให้ได้บรรยากาศ เราจึงไต่บันไดหลายร้อยขั้นขึ้นไปชมองค์เจ้าแม่กวนอิมอย่างใกล้ชิด
แม้เดินขึ้นบันไดมาจนขาเริ่มสั่น แต่ทิวทัศน์เมื่อมองลงไปยังเบื้องล่างนั้นก็นับว่างดงามไม่น้อย ยิ่งเมื่อได้เห็นเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ใกล้ๆ แล้วก็ถือว่าเราคิดไม่ผิดที่ยอมเหนื่อยเดินขึ้นมาจนถึงด้านบนนี้
เมื่อขึ้นมาจนถึงยอดเขาแล้ว คราวนี้ก็ลงไปที่ตีนเขากันบ้าง เพราะที่นี่มีสถานที่ที่น่าสนใจสำหรับคนที่ชอบกังฟูหรือมวยจีนที่ไม่ควรพลาดชม นั่นก็คือก็คือ "สำนักการเชิดสิงโตและศิลปะการต่อสู้ตำรับหวงเฟยหง" (Huang Feihong Lion Dance and Martial Arts Center) สำนักแห่งนี้ตั้งอยู่ที่หมู่บ้าน Luzhou บริเวณตีนเขาซีเฉียว ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของปรมาจารย์หวงเฟยหงนั่นเอง
หลายคนคงรู้จักชื่อของหวงเฟยหงผ่านทางภาพยนตร์จีน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไอ้หนุ่มหมัดเมา ฤทธิ์หมัดไร้เทียมทาน ฯลฯ ซึ่งก็เป็นการเอาช่วงชีวิตต่างๆของหวงเฟยหงซึ่งมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ของจีนมาสร้างเป็นภาพยนตร์ โดยหวงเฟยหงนั้นเกิดในสมัยราชวงศ์ชิง ค.ศ.1874 เป็นบุตรของหวงจี้อิง (หว่องไค่อิง) ซึ่งเป็นครูมวยผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง และเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม 10 พยัคฆ์กวางตุ้ง เขาได้รับการถ่ายทอดวิชามวยมาจากบิดาและอาจารย์จากสำนักต่างๆ โดยหวงเฟยหงเป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องทั้งทางด้านการเป็นจอมยุทธ์ผู้มีใจเป็นธรรม เป็นครูมวยที่ได้รับการยอมรับนับถือ เป็นแพทย์มีฝีมือและมีจิตเมตตา อีกทั้งยังเป็นนักเชิดสิงโตผู้มีชื่อเสียงอีกด้วย หากใครสนใจอยากรู้ประวัติของหวงเฟยหงก็สามารถหาภาพยนตร์จีนมาชมกันได้เพลินๆ
สำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาชมภายในสำนักแห่งนี้นั้น ก็จะได้พบกับรูปปั้นของอาจารย์หวงตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง ขนาบข้างด้วยสิงโตที่ไว้ใช้ในการเชิดสองตัว ก่อนจะได้เข้าชมการแสดงวิชากังฟูตำรับหวงเฟยหง ก่อนที่จะมีการแสดงโชว์การเชิดสิงโต ซึ่งถือเป็นความสามารถอย่างหนึ่งของหวงเฟยหง
สำหรับการเชิดสิงโตนั้น ก็จะต้องมีพื้นฐานของกังฟูไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะนอกจากการที่จะต้องรู้ใจกันระหว่างท่อนหัวและท่อนหางเพื่อจะได้ก้าวเดินหรือวิ่งอย่างสัมพันธ์กันแล้ว ก็ยังจะต้องมีการก้าว กระโดด แสดงท่าผาดโผนต่างๆ นานาอยู่บนเสาต้นสูงที่ต้องใช้ความชำนาญอย่างมาก ซึ่งผู้ที่มาแสดงการเชิดสิงโตให้เราได้ชมนั้นก็สามารถแสดงได้อย่างน่าประทับใจมากทีเดียว
ชมการแสดงมวยกังฟูและการเชิดสิงโตเสร็จแล้วก็อย่าลืมเข้าไปชมประวัติของหวงเฟยหงภายในห้องจัดแสดง และชมบรรดาศาสตราวุธ และภาพวาดท่าทางของมวยกังฟูกันเสียก่อน
หลังจากนั้นเราชมความน่าสนใจของเมืองฝอซานกันต่อ โดยการไปชมเตาเผาโบราณ "Nanfeng Ancient Kiln" หมู่บ้านทำเครื่องปั้นดินเผาเครื่องเซรามิคที่เขตฉานเฉิง ซึ่งเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ฉันประทับใจมาก ที่เมืองฝอซานนี้เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องกระเบื้องเซรามิค คงจะคล้ายๆลำปางบ้านเรา ที่เมืองนี้จึงเต็มไปด้วยโรงงานผลิตเซรามิค สินค้าต่างๆของหลายบริษัทในต่างประเทศ ประเภทสินค้าเครื่องสุขภัณฑ์ สินค้าจานชามต่างๆ นั้น ก็มาผลิตอยู่ที่เมืองฝอซานนี่เอง
สำหรับเตาเผาโบราณที่เราจะเข้าไปชมนี้ ถูกสร้างขึ้นในช่วงราชวงศ์หมิง มีประวัติยาวนานกว่า 500 ปีแล้ว และยังสามารถใช้ได้อยู่จนถึงทุกวันนี้ เตาเผานี้เรียกว่า "เตาเผามังกร" (Dragon Kiln) ซึ่งหมายถึงชนิดของเตาเผาอย่างหนึ่ง เรียกตามลักษณะของมันที่เป็นโพรงขนาดยาวเหมือนมังกรตัวใหญ่นั่นเอง
ภายในบริเวณเตาเผาโบราณนี้มีลักษณะเป็นหมู่บ้าน เมื่อก่อนนี้ก็คงจะทำเซรามิคกันทุกหลัง ตึกแต่ละหลังนั้นเป็นตึกโบราณแบบจีนตอนใต้ในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี โดยปัจจุบันนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ทำงานปั้นของศิลปินจากหลายๆประเทศ เราเดินลัดเลาะไปตามทางเดินเล็กๆระหว่างตึกเหล่านั้นเพื่อไปชมการสาธิตวิธีทำเครื่องปั้นดินเผาตามวิธีแบบโบราณ ที่จะต้องมีคนคอยใช้เท้าหมุนแป้นที่วางดินเหนียว ขณะที่อีกคนหนึ่งจะเป็นคนใช้มือค่อยๆขึ้นรูปดินเหนียวนั้นให้เป็นภาชนะรูปทรงต่างๆ ตามที่ต้องการ โดยยังไม่มีการใช้เครื่องจักรกลเข้ามาช่วย
บริเวณใกล้เคียงกันนั้นยังเป็นที่ตั้งของ "พิพิธภัณฑ์เซรามิค" (Guangdong Shiwan Ceramics Museum) ที่เป็นพิพิธภัณฑ์เซรามิคแห่งแรกในมณฑลกวางตุ้ง ที่ภายในมีห้องจัดแสดงถึง 6 ห้องด้วยกัน และมีสิ่งที่น่าสนใจอย่างประวัติของการทำเซรามิคของจีน เรื่องของเตาเผาโบราณที่มีการจำลองมาให้ชม รวมทั้งเซรามิคชิ้นงามๆ อีกหลายชิ้นด้วยกัน และยังมีห้องนิทรรศการหมุนเวียนที่มีศิลปินนำผลงานของตนเองมาผลัดเปลี่ยนกันแสดงให้ชมอีกด้วย
มาปิดท้ายกันที่สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้ที่อื่น นั่นก็คือ "วัดจูเหมี่ยว" (Zumiao Temple) หรือ Temple of the Ancestors วัดในลัทธิเต๋าซึ่งเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของฝอซานมากว่า 700 ปี สร้างขึ้นในราชวงค์หมิง เมื่อปี ค.ศ.1372 ภายในวัดนั้นมีเทพเสียนอู่ตี้ หรือเทพเจ้าเหนือ (God of the North) เป็นประธานของวัด และมีวิหารเซียนต่างๆ โดยบนหลังคาของวัดนั้นจะประดับประดาไปด้วยรูปปั้นตุ๊กตาเซรามิคขนาดเล็กๆอยู่เต็มไปหมด นั่นก็คือผลิตผลอันมีชื่อเสียงของเมืองฝอซานนั่นเอง
สิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ ของวัดนี้ก็ยังมีเวทีงิ้วกวางตุ้งให้ชมในวันเสาร์และวันอาทิตย์ และที่นี่ก็ยังมีพิพิธภัณฑ์ของหวงเฟยหง แสดงอัตชีวประวัติ และจำลองบรรยากาศร้านขายยาเป่าจือหลินของหวงเฟยหงที่เป็นทั้งร้านขายยาสมุนไพรและสถานที่รักษาผู้ป่วยไว้ให้ดู และมีการแสดงกังฟูและเชิดสิงโตให้ชมกันเป็นรอบๆอีกด้วย
ในตอนหน้าเราจะเดินทางเข้าสู่เมืองเอกของมณฑลกวางตุ้ง หรือเมืองกวางเจากันแล้ว ที่กวางเจาจะมีอะไรน่าสนใจรออยู่บ้าง ก็ต้องรออ่านกันในตอนต่อไป
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
"มณฑลกวางตุ้ง" หรือ กว่างตง แบ่งการปกครองออกเป็น 21 เมืองใหญ่ 30 เมืองระดับอำเภอ 42 อำเภอและ 3 เขตปกครองตนเอง ตั้งอยู่ตอนใต้สุดของประเทศ ทางใต้ติดกับทะเลจีนใต้ ใกล้กับเกาะฮ่องกงและมาเก๊า และยังเป็นประตูสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย ส่วนเมืองฝอซานนั้นถือเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งในมณฑลกวางตุ้ง
สายการบินไทยแอร์เอเชียมีเที่ยวบินตรงสู่เมืองกวางเจา เมืองเอกของมณฑลกวางตุ้ง ผู้สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0-2515-9999
วันที่สองของการท่องเที่ยวในมณฑลกวางตุ้ง เราเดินทางกันไปต่อที่เมือง "ฝอซาน" เมืองสำคัญอีกเมืองหนึ่งในมณฑลกวางตุ้ง ที่เมืองนี้ก็มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอย่าง "เขาซีเฉียว" (Xiqiao Hill) ภูเขาซึ่งตั้งอยู่ในเขตหนานไห่ของเมืองฝอซาน โดยภูเขาซีเฉียวนี้มีทัศนียภาพที่งดงาม มียอดเขาถึง 72 ยอด มีถ้ำ 42 แห่ง รวมไปถึงสระน้ำ น้ำพุและน้ำตกที่สวยงาม สมกับที่เป็นอุทยานแห่งชาติของประเทศจีน
เมื่อมาที่ภูเขาแห่งนี้แล้ว สิ่งที่ไม่ควรพลาดชมก็คือการขึ้นไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมบนยอดเขา เจ้าแม่กวนอิมองค์นี้เป็นเจ้าแม่กวนอิมปางสมาธิ ทำจากโลหะ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนยอดเขา มองเห็นได้จากทุกทิศทาง จากลานเบื้องล่างนั้นก็สามารถจุดธูปกราบไหว้เจ้าแม่กวนอิมได้ แต่เพื่อให้ได้บรรยากาศ เราจึงไต่บันไดหลายร้อยขั้นขึ้นไปชมองค์เจ้าแม่กวนอิมอย่างใกล้ชิด
แม้เดินขึ้นบันไดมาจนขาเริ่มสั่น แต่ทิวทัศน์เมื่อมองลงไปยังเบื้องล่างนั้นก็นับว่างดงามไม่น้อย ยิ่งเมื่อได้เห็นเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ใกล้ๆ แล้วก็ถือว่าเราคิดไม่ผิดที่ยอมเหนื่อยเดินขึ้นมาจนถึงด้านบนนี้
เมื่อขึ้นมาจนถึงยอดเขาแล้ว คราวนี้ก็ลงไปที่ตีนเขากันบ้าง เพราะที่นี่มีสถานที่ที่น่าสนใจสำหรับคนที่ชอบกังฟูหรือมวยจีนที่ไม่ควรพลาดชม นั่นก็คือก็คือ "สำนักการเชิดสิงโตและศิลปะการต่อสู้ตำรับหวงเฟยหง" (Huang Feihong Lion Dance and Martial Arts Center) สำนักแห่งนี้ตั้งอยู่ที่หมู่บ้าน Luzhou บริเวณตีนเขาซีเฉียว ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของปรมาจารย์หวงเฟยหงนั่นเอง
หลายคนคงรู้จักชื่อของหวงเฟยหงผ่านทางภาพยนตร์จีน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไอ้หนุ่มหมัดเมา ฤทธิ์หมัดไร้เทียมทาน ฯลฯ ซึ่งก็เป็นการเอาช่วงชีวิตต่างๆของหวงเฟยหงซึ่งมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ของจีนมาสร้างเป็นภาพยนตร์ โดยหวงเฟยหงนั้นเกิดในสมัยราชวงศ์ชิง ค.ศ.1874 เป็นบุตรของหวงจี้อิง (หว่องไค่อิง) ซึ่งเป็นครูมวยผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง และเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม 10 พยัคฆ์กวางตุ้ง เขาได้รับการถ่ายทอดวิชามวยมาจากบิดาและอาจารย์จากสำนักต่างๆ โดยหวงเฟยหงเป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องทั้งทางด้านการเป็นจอมยุทธ์ผู้มีใจเป็นธรรม เป็นครูมวยที่ได้รับการยอมรับนับถือ เป็นแพทย์มีฝีมือและมีจิตเมตตา อีกทั้งยังเป็นนักเชิดสิงโตผู้มีชื่อเสียงอีกด้วย หากใครสนใจอยากรู้ประวัติของหวงเฟยหงก็สามารถหาภาพยนตร์จีนมาชมกันได้เพลินๆ
สำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาชมภายในสำนักแห่งนี้นั้น ก็จะได้พบกับรูปปั้นของอาจารย์หวงตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง ขนาบข้างด้วยสิงโตที่ไว้ใช้ในการเชิดสองตัว ก่อนจะได้เข้าชมการแสดงวิชากังฟูตำรับหวงเฟยหง ก่อนที่จะมีการแสดงโชว์การเชิดสิงโต ซึ่งถือเป็นความสามารถอย่างหนึ่งของหวงเฟยหง
สำหรับการเชิดสิงโตนั้น ก็จะต้องมีพื้นฐานของกังฟูไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะนอกจากการที่จะต้องรู้ใจกันระหว่างท่อนหัวและท่อนหางเพื่อจะได้ก้าวเดินหรือวิ่งอย่างสัมพันธ์กันแล้ว ก็ยังจะต้องมีการก้าว กระโดด แสดงท่าผาดโผนต่างๆ นานาอยู่บนเสาต้นสูงที่ต้องใช้ความชำนาญอย่างมาก ซึ่งผู้ที่มาแสดงการเชิดสิงโตให้เราได้ชมนั้นก็สามารถแสดงได้อย่างน่าประทับใจมากทีเดียว
ชมการแสดงมวยกังฟูและการเชิดสิงโตเสร็จแล้วก็อย่าลืมเข้าไปชมประวัติของหวงเฟยหงภายในห้องจัดแสดง และชมบรรดาศาสตราวุธ และภาพวาดท่าทางของมวยกังฟูกันเสียก่อน
หลังจากนั้นเราชมความน่าสนใจของเมืองฝอซานกันต่อ โดยการไปชมเตาเผาโบราณ "Nanfeng Ancient Kiln" หมู่บ้านทำเครื่องปั้นดินเผาเครื่องเซรามิคที่เขตฉานเฉิง ซึ่งเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ฉันประทับใจมาก ที่เมืองฝอซานนี้เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องกระเบื้องเซรามิค คงจะคล้ายๆลำปางบ้านเรา ที่เมืองนี้จึงเต็มไปด้วยโรงงานผลิตเซรามิค สินค้าต่างๆของหลายบริษัทในต่างประเทศ ประเภทสินค้าเครื่องสุขภัณฑ์ สินค้าจานชามต่างๆ นั้น ก็มาผลิตอยู่ที่เมืองฝอซานนี่เอง
สำหรับเตาเผาโบราณที่เราจะเข้าไปชมนี้ ถูกสร้างขึ้นในช่วงราชวงศ์หมิง มีประวัติยาวนานกว่า 500 ปีแล้ว และยังสามารถใช้ได้อยู่จนถึงทุกวันนี้ เตาเผานี้เรียกว่า "เตาเผามังกร" (Dragon Kiln) ซึ่งหมายถึงชนิดของเตาเผาอย่างหนึ่ง เรียกตามลักษณะของมันที่เป็นโพรงขนาดยาวเหมือนมังกรตัวใหญ่นั่นเอง
ภายในบริเวณเตาเผาโบราณนี้มีลักษณะเป็นหมู่บ้าน เมื่อก่อนนี้ก็คงจะทำเซรามิคกันทุกหลัง ตึกแต่ละหลังนั้นเป็นตึกโบราณแบบจีนตอนใต้ในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี โดยปัจจุบันนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ทำงานปั้นของศิลปินจากหลายๆประเทศ เราเดินลัดเลาะไปตามทางเดินเล็กๆระหว่างตึกเหล่านั้นเพื่อไปชมการสาธิตวิธีทำเครื่องปั้นดินเผาตามวิธีแบบโบราณ ที่จะต้องมีคนคอยใช้เท้าหมุนแป้นที่วางดินเหนียว ขณะที่อีกคนหนึ่งจะเป็นคนใช้มือค่อยๆขึ้นรูปดินเหนียวนั้นให้เป็นภาชนะรูปทรงต่างๆ ตามที่ต้องการ โดยยังไม่มีการใช้เครื่องจักรกลเข้ามาช่วย
บริเวณใกล้เคียงกันนั้นยังเป็นที่ตั้งของ "พิพิธภัณฑ์เซรามิค" (Guangdong Shiwan Ceramics Museum) ที่เป็นพิพิธภัณฑ์เซรามิคแห่งแรกในมณฑลกวางตุ้ง ที่ภายในมีห้องจัดแสดงถึง 6 ห้องด้วยกัน และมีสิ่งที่น่าสนใจอย่างประวัติของการทำเซรามิคของจีน เรื่องของเตาเผาโบราณที่มีการจำลองมาให้ชม รวมทั้งเซรามิคชิ้นงามๆ อีกหลายชิ้นด้วยกัน และยังมีห้องนิทรรศการหมุนเวียนที่มีศิลปินนำผลงานของตนเองมาผลัดเปลี่ยนกันแสดงให้ชมอีกด้วย
มาปิดท้ายกันที่สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้ที่อื่น นั่นก็คือ "วัดจูเหมี่ยว" (Zumiao Temple) หรือ Temple of the Ancestors วัดในลัทธิเต๋าซึ่งเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของฝอซานมากว่า 700 ปี สร้างขึ้นในราชวงค์หมิง เมื่อปี ค.ศ.1372 ภายในวัดนั้นมีเทพเสียนอู่ตี้ หรือเทพเจ้าเหนือ (God of the North) เป็นประธานของวัด และมีวิหารเซียนต่างๆ โดยบนหลังคาของวัดนั้นจะประดับประดาไปด้วยรูปปั้นตุ๊กตาเซรามิคขนาดเล็กๆอยู่เต็มไปหมด นั่นก็คือผลิตผลอันมีชื่อเสียงของเมืองฝอซานนั่นเอง
สิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ ของวัดนี้ก็ยังมีเวทีงิ้วกวางตุ้งให้ชมในวันเสาร์และวันอาทิตย์ และที่นี่ก็ยังมีพิพิธภัณฑ์ของหวงเฟยหง แสดงอัตชีวประวัติ และจำลองบรรยากาศร้านขายยาเป่าจือหลินของหวงเฟยหงที่เป็นทั้งร้านขายยาสมุนไพรและสถานที่รักษาผู้ป่วยไว้ให้ดู และมีการแสดงกังฟูและเชิดสิงโตให้ชมกันเป็นรอบๆอีกด้วย
ในตอนหน้าเราจะเดินทางเข้าสู่เมืองเอกของมณฑลกวางตุ้ง หรือเมืองกวางเจากันแล้ว ที่กวางเจาจะมีอะไรน่าสนใจรออยู่บ้าง ก็ต้องรออ่านกันในตอนต่อไป
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
"มณฑลกวางตุ้ง" หรือ กว่างตง แบ่งการปกครองออกเป็น 21 เมืองใหญ่ 30 เมืองระดับอำเภอ 42 อำเภอและ 3 เขตปกครองตนเอง ตั้งอยู่ตอนใต้สุดของประเทศ ทางใต้ติดกับทะเลจีนใต้ ใกล้กับเกาะฮ่องกงและมาเก๊า และยังเป็นประตูสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย ส่วนเมืองฝอซานนั้นถือเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งในมณฑลกวางตุ้ง
สายการบินไทยแอร์เอเชียมีเที่ยวบินตรงสู่เมืองกวางเจา เมืองเอกของมณฑลกวางตุ้ง ผู้สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0-2515-9999