โดย : ปิ่น บุตรี
“พี่ปิ่น เวลาพี่ไปหัวหิน พี่นึกถึงอะไรคะ???”
เมื่อไม่กี่วันมานี้มีเสียงตามสายใสๆของน้องนักศึกษาสาวมหา’ลัยเอกชนแห่งหนึ่ง โทรศัพท์มาสอบถามความเห็นผมเพื่อนำไปทำรายงาน
จู่ๆเธอเล่นถามแบบเฉียบพลันไม่ทันตั้งตัว ด้วยเหตุนี้จิตเหนือสำนึกของผมมันจึงส่งความคิดอันเฉียบพลัน(เหมือนกัน)พุ่งไปยังปากแล้วตอบแบบเฉียบพลันกลับไปว่า
“คิดถึงไอ้เก็ทเพื่อนพี่น่ะ”
“หา อะไรนะ?!?”
เสียงน้องเธออุทานแบบงงๆ เพราะตามความนึกคิดของคนทั่วไป หากนึกถึงหัวหิน มันก็น่าจะออกมาแนว ท้องทะเล ชายหาด สถานตากอากาศคลาสสิค เมืองชายทะเลไฮโซ สถานีรถไฟ อาหารทะเล ตลาดโต้รุ่ง สถานบันเทิง หรือใครที่บ้ามวยก็อาจนึกถึงโผนกิ่งเพชร แชมป์เปี้ยนโลกคนแรกของเมืองไทย ส่วนใครชอบร้องเพลง เวลาพูดถึงหัวหินอาจจะนึกถึงเพลง“หัวหินสิ้นมนต์รัก” หรือไม่ก็นึกถึง“หอย” เพราะมีเพลงอมตะยอดฮิตเพลงหนึ่งร้องว่า “หัวหินเป็นถิ่นมีหอย ฝรั่งนั่งคอยจนหอยติดหิน”
ส่วนคนที่เป็นแฟนละครก็อาจนึกถึง“ปริศนา” เป็นต้น
แต่ประทานโทษ คำตอบของผมนอกจากมันไม่ช่วยในการทำรายงานของน้องนักศึกษาแล้วมันยังสร้างปริศนาความงุนงงให้กับน้องคนนั้น จนเธอต้องถามย้ำอีกครั้งว่า ”ไปหัวหินพี่นึกถึงอะไร”
คำตอบผมยังเป็นเช่นดังเดิม
“ทำไมพี่นึกถึงเพื่อนพี่คะ”
“ก็เพื่อนพี่มันอยู่หัวหินนี่จ๊ะ(เสียงหวาน) เวลาไปเที่ยวพี่นึกถึงมันก่อนเพราะจะอาศัยนอนและกินเหล้ากับมัน”
ว่าแล้วเธอก็เลี่ยงไปถามเรื่องอื่นอีก 2-3 เรื่อง ซึ่งไม่รู้ว่าเธอจะนึกด่าผมในใจหรือเปล่าว่า ไม่น่าโทร.มาสอบถามมันเลย นอกจากไม่ได้เรื่องแล้วยังเสียเรื่องอีกต่างหาก แต่ก็ไม่แน่นะถ้าคิดกันแบบอาร์ตๆในแบบฉบับของ โน้ส อุดม เธออาจนึกชมผมในใจก็ได้ว่า...พี่แม่ม ตอบคำถามโคตรอาร์ตเลยว่ะ...
จริงอยู่คำตอบของผมอาจไม่โดนใจน้องเค้า แต่มันก็น่าจะสร้างความนึกไม่ถึงให้กับน้องเค้าได้ไม่มากก็น้อย เฉกเช่นกับการไปเที่ยวหัวหินหนล่าสุดของผม ที่ได้เจอบางสิ่งบางอย่างที่คาดคิดไม่ถึงว่าจะได้พบในอำเภอหัวหินแห่งนี้
บ้านป่าละอู
ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ที่ครั้งที่ไปเที่ยวหัวหิน
ถ้าไม่ได้ไปเหยียบทะเลก็ต้องไปเห็นทะเล
ถ้าไม่ได้ไปเที่ยวแสงสีราตรีก็ต้องไปหาร้านนั่งดื่มกินยามราตรี
ถ้าไม่ได้ไปกินเหล้าก็ต้องไปกินเบียร์
แต่การไปหัวหินครั้งล่าสุดนี้กลับแตกต่างออกไป ผมไม่ได้ไปเห็นทะเล ไม่ได้ไปเจอแสงสี และก็ไม่ได้ไปหาไอ้เก็ท ไม่ได้ไปกินเหล้ากะมัน หากแต่ไปเที่ยวป่า ไปน้ำตกป่าละอู(อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน) และไปดูวิถีชีวิตชุมชนในตำบลห้วยสัตว์ใหญ่ที่ได้รับยกให้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยว OVC (OVC : OTOP Village Champion) 1 ใน 9 หมู่บ้านเด่นที่มีศักยภาพในการพัฒนาต่อยอด
ชุมชนห้วยสัตว์ใหญ่ อยู่ห่างจากตัวเมืองหัวหินไปทางน้ำตกป่าละอูประมาณ 50 กม. ซึ่งหลายๆคนไม่คิดว่าใกล้ๆเมืองหัวหินจะมีแบบนี้ด้วย บางคนบอกเป็นอันซีนหัวหิน บางคนบอกเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางเลือก เพราะมันมีบรรยากาศที่แตกต่างจากเมืองหัวหินอยู่ไม่น้อยเลย โดยเฉพาะวิถีชุมชนชาวบ้านป่าอันเรียบง่าย สงบงาม ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ชุมชนห้วยสัตว์ใหญ่ มีกลุ่มหมู่บ้านท่องเที่ยว OVC ประกอบด้วย บ้านฟ้าประทาน บ้านโคนมพัฒนา บ้านเฉลิมพระเกียรติพัฒนา บ้านป่าละอู ซึ่งแต่ละหมู่บ้านมีจุดเด่นแตกต่างกันออกไป อาทิ บ้านฟ้าประทาน มีทรัพยากรน้ำตกป่าละอูอันสวยงาม บ้านโคนมพัฒนาเป็นแหล่งเลี้ยงโคนมแหล่งใหญ่ อันเป็นอาชีพพระราชทานจากในหลวงตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง โดยน้ำนมดิบที่นี่จะถูกส่งตรงเข้าโรงผลิตนมสวนจิตรลดาทุกวัน
แต่ที่นึกไม่ถึงสำหรับผมว่าจะมีในอำเภอหัวหินกับเป็น บ้านป่าละอูและบ้านเฉลิมพระเกียรติพัฒนา
ที่บ้านป่าละอู ดูน่าทึ่งเพราะเป็นหมู่บ้านของชนพื้นเมืองกะเหรี่ยง กะหร่าง ที่ยังคงดำรงวิถีชีวิตอย่างเรียบง่าย แบบดั้งเดิม นับถือผี นับถือธรรมชาติ ชนิดที่หมู่บ้านชาวเขาทางเหนือยังอาย เพราะนับวันยิ่งมาหมู่บ้านชาวเขาทางเหนือยิ่งถูกกระแสทุนนิยมบุกถล่มจนเปลี่ยนแปลงไปมากมาย แต่ที่บ้านป่าละอูนี่ยังดูดีอยู่
อย่างไรก็ตามการที่ทางการเปิดหมู่บ้านนี้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว ถือเป็นดาบ 2 คม ที่ด้านหนึ่งสร้างงานสร้างรายได้ให้กับชุมชน อีกด้านหนึ่งก็นำความเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมวัฒนธรรม และสิ่งแปลกปลอมจากวิถีต่างถิ่นที่อาจเป็นพิษต่อชุมชนมาสู่บ้านป่าละอู เรื่องนี้จำเป็นที่ทางการ ชุมชน และนักท่องเที่ยว ต้องพึงระวังให้ดี
บ้านเฉลิมพระเกียรติพัฒนา
อีกหนึ่งหมู่บ้านที่สร้างความนึกไม่ถึงให้กับผมว่าจะมีในหัวหินก็คือ บ้านเฉลิมพระเกียรติพัฒนา หมู่บ้านนี้ดูเผินๆดูเหมือนหมู่บ้านชายป่าทั่วไป แต่ที่พิเศษก็คือทางเข้าหมู่บ้านนี้ต้องผ่านเขตอุทยานฯแก่งกระจานที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้ ทำให้ช่วงเย็นๆระหว่างทางใครโชคดีก็จะได้พบกับสัตว์ป่าหลากหลายชนิด โดยเฉพาะช้างป่าที่ออกมาหากินเป็นประจำ
แต่ประทานโทษ งานนี้ช่วงเย็นผมโชคไม่ดี ไม่มีโอกาสเห็นช้างป่าตัวเป็นๆ เจอแต่ขี้ช้าง 2-3 กอง
“เอาไว้ดูตอนกลางคืนที่หอดูช้างดีกว่า มีโอกาสเจอช้างป่าอีกรอบนึงเหมือนกัน” วิสุทธ์ วันดี เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวอบต.ห้วยสัตว์ใหญ่บอกกับผม
พอยามรัตติกาลมาเยือน ผมกับเพื่อนๆจึงขึ้นรถกระบะออกไปชมช้างป่าตามคำชวนของวิสุทธิ์ที่หอดูช้างป่าและพื้นที่เฝ้าระวังช้างป่าลงมากินพืชไร่ที่ชาวบ้านเขาจัดทำจัดสร้างกันขึ้นมา
พูดถึงปัญหาช้างป่าบุกรุกกินพืชไร่ นั้นเป็นปัญหาคลาสสิคที่แต่ละพื้นที่พยายามหาวิธีแก้ไขป้องกันให้คนกับช้างอยู่ร่วมกันได้โดยสันติ สำหรับที่บ้านเฉลิมพระเกียรตินั้น ผู้ใหญ่มนูญ ทองแย้ม แกนนำสำคัญของโครงการคน-ช้างอยู่ร่วมกันเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว เริ่มมีช้างป่าจากป่าหุบเต่าในพื้นที่อุทยานฯแก่งกระจานลงมากินพืชไร่ของชาวบ้าน ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากการที่ผืนป่าและอาหารการกินในป่าคงลดน้อยลง ปัจจุบันมีช้างป่าประมาณ 60-70 ตัว ออกหากินแต่ละคราวเป็นจุดๆ จุดละประมาณ 10 ตัว
“ช่วงแรกๆช้างได้มาทำลายพืชไร่เราหมด ทำมาหากินไม่ได้เลย ประมาณ ปี 31 มีกลุ่มอนุรักษ์ช้างป่าเข้ามาช่วยชาวบ้านจัดกิจกรรมเพื่อการท่องเที่ยว ให้คนกับช้างอยู่ร่วมกันได้” ผู้ใหญ่มนูญเล่า
จากนั้นชาวบ้านร่วมกันจัดโครงการคนกับช้างป่าอยู่ร่วมกัน โดยได้จัดสร้างแนวรั้วธรรมชาติขึ้นมาป้องกันช้างป่าบุกรุก และมีหอดูช้างอยู่ 10 จุด
แต่ประทานโทษ ดูเหมือนช้างป่าในพักหลังมานี่มันเริ่มชิน มันไม่กลัว ชาวบ้านจึงต้องใช้วิธี“ไล่” ให้มันกลับไปหากินในป่า
ชาวบ้านที่นี่ไม่ใช้“มือตบ”ไล่ เหมือนพันธมิตรไล่ทรราชบางคน แต่เขามีวิธีการของพวกเขา แถมทำเป็นลำดับขั้นไป พอช้างมาชนลวดส่งสัญญาณ(ไม่ใช่ลวดไฟฟ้า ไม่มีผลกระทบต่อร่างกายช้าง)สัญญาณหวอจะดังขึ้นเพื่อปลุกอาสาสมัครชาวบ้านที่แบ่งทีมเวร-ยาม ทีมละประมาณ 6 คน มาทำการไล่ช้าง โดยขั้นแรกจะใช้“ลูกปง”(ประทัดยักษ์) จุดไล่
“ลูกปงมันดังแรงกว่าประทัด จุดแล้ว 3 วิ(นาที) ให้โยนขึ้นฟ้า ช้างมันจะตกใจหนีไป ถ้าไม่หนีอาจใช้ปืนลูกซองยิงขู่บ้าง” ผู้ใหญ่มนูญเล่า
นี่ขนาดชาวบ้านไล่ช้างยังกลัวช้างบาดเจ็บ ผิดกับตำรวจที่สลายการชุมนุมวันที่ 7 ต.ค. ไอ้พวกนี้นอกจากมันไม่กลัวบาดเจ็บแล้วยังกะเอากันให้ถึงตายอีกด้วย ฟังแล้วมันน่าเศร้าชะมัด
เฮ้อ...เปลี่ยนมาฟังเรื่องแทบไม่น่าเชื่อของคนกับช้างที่นี่ต่อดีกว่า
ในกรณีที่ชาวบ้านเขาไล่ช้างไม่ไป เพราะตอนหลังช้างเริ่มชิน เริ่มรู้เขารู้เรา
“เราจะพูดกับเขาดีๆว่า พี่(ช้าง)ครับเข้ามาดีๆนะ อย่ามาทำให้พืชไร่เสียหายนะ มันได้ผลด้วยนะ เค้าฟังเรารู้เรื่อง พวกนี้น่ะแสนรู้ แต่ถ้าเราจะไปทำร้ายเขา เขาจะโกรธและทำร้ายเอา”ผู้ใหญ่มนูญบอก
และด้วยการเอาล่อเอาเถิดไล่ช้างเป็นกิจวัตรกิจกรรมแอบดูช้างที่นี่มีชีวิตชีวาด้วยเรื่องเล่า และการสาธิตการไล่ช้าง การเฝ้าซุ่มดูช้างทั่งที่หอส่องสัตว์ และตามแนวโป่ง ซึ่งในคืนนั้น พวกเราไม่เจอช้างเหมือนตอนเย็นอีกแล้วครับทั่น ได้ยินแต่เสียงหวอดังระงมเนื่องจากมันมาชนลวดสัญญานอยู่บ่อยครั้ง
เมื่อเฝ้ารออยู่นานไม่เจอ เราจึงตัดสินใจไปหามัน เพราะวิสุทธิ์บอกว่าช่วงมืดๆอย่างนี้จะมีช้างอยู่คู่หนึ่งมาหากินริมถนน(สาย 3219 หัวหิน-ป่าละอู)แถวอ่างเก็บน้ำห้วยพุไทรอยู่เป็นประจำ
ว่าแล้วเราก็ไม่รีรอรีบเดินทางไป และก็เห็นช้างคู่หนึ่งออกหาหินอยู่ข้างทาง ชาวบ้านเรียกมันว่าพี่ใหญ่กับแฟน พวกเรายืนดูอยู่ห่างๆเห็นมันยืนคลอเคล้าแอบอิงกันดูน่ารักน่าชัง จากนั้นไม่นานพอมีรถแล่นผ่านมา เปิดไฟสว่างจ้ามันก็จะวิ่งหนีแสงไปหลบเข้าไปในดงไม้ริมทางก่อนออกมาหากินใหม่ เป็นแบบนี้ประจำ
ซึ่งการได้เจอช้างป่าตัวเป็นๆทำเอาผมดีใจจนเนื้อเต้น แต่ชาวบ้านบอกไม่อยากเจอเพราะพวกเขาต้องเหนื่อยกับมันไม่น้อย ส่วนช้างจะคิดยังไง ไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่า แม้ผม ชาวบ้าน และช้าง จะมีความคิดและวิถีที่แตกต่างกัน แต่เมื่อเราเคารพซึ่งกันและกัน ก็สามารถอยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้ได้อย่างสันติ
นี่ไยมิใช่เสน่ห์ประการหนึ่งของความแตกต่าง
“พี่ปิ่น เวลาพี่ไปหัวหิน พี่นึกถึงอะไรคะ???”
เมื่อไม่กี่วันมานี้มีเสียงตามสายใสๆของน้องนักศึกษาสาวมหา’ลัยเอกชนแห่งหนึ่ง โทรศัพท์มาสอบถามความเห็นผมเพื่อนำไปทำรายงาน
จู่ๆเธอเล่นถามแบบเฉียบพลันไม่ทันตั้งตัว ด้วยเหตุนี้จิตเหนือสำนึกของผมมันจึงส่งความคิดอันเฉียบพลัน(เหมือนกัน)พุ่งไปยังปากแล้วตอบแบบเฉียบพลันกลับไปว่า
“คิดถึงไอ้เก็ทเพื่อนพี่น่ะ”
“หา อะไรนะ?!?”
เสียงน้องเธออุทานแบบงงๆ เพราะตามความนึกคิดของคนทั่วไป หากนึกถึงหัวหิน มันก็น่าจะออกมาแนว ท้องทะเล ชายหาด สถานตากอากาศคลาสสิค เมืองชายทะเลไฮโซ สถานีรถไฟ อาหารทะเล ตลาดโต้รุ่ง สถานบันเทิง หรือใครที่บ้ามวยก็อาจนึกถึงโผนกิ่งเพชร แชมป์เปี้ยนโลกคนแรกของเมืองไทย ส่วนใครชอบร้องเพลง เวลาพูดถึงหัวหินอาจจะนึกถึงเพลง“หัวหินสิ้นมนต์รัก” หรือไม่ก็นึกถึง“หอย” เพราะมีเพลงอมตะยอดฮิตเพลงหนึ่งร้องว่า “หัวหินเป็นถิ่นมีหอย ฝรั่งนั่งคอยจนหอยติดหิน”
ส่วนคนที่เป็นแฟนละครก็อาจนึกถึง“ปริศนา” เป็นต้น
แต่ประทานโทษ คำตอบของผมนอกจากมันไม่ช่วยในการทำรายงานของน้องนักศึกษาแล้วมันยังสร้างปริศนาความงุนงงให้กับน้องคนนั้น จนเธอต้องถามย้ำอีกครั้งว่า ”ไปหัวหินพี่นึกถึงอะไร”
คำตอบผมยังเป็นเช่นดังเดิม
“ทำไมพี่นึกถึงเพื่อนพี่คะ”
“ก็เพื่อนพี่มันอยู่หัวหินนี่จ๊ะ(เสียงหวาน) เวลาไปเที่ยวพี่นึกถึงมันก่อนเพราะจะอาศัยนอนและกินเหล้ากับมัน”
ว่าแล้วเธอก็เลี่ยงไปถามเรื่องอื่นอีก 2-3 เรื่อง ซึ่งไม่รู้ว่าเธอจะนึกด่าผมในใจหรือเปล่าว่า ไม่น่าโทร.มาสอบถามมันเลย นอกจากไม่ได้เรื่องแล้วยังเสียเรื่องอีกต่างหาก แต่ก็ไม่แน่นะถ้าคิดกันแบบอาร์ตๆในแบบฉบับของ โน้ส อุดม เธออาจนึกชมผมในใจก็ได้ว่า...พี่แม่ม ตอบคำถามโคตรอาร์ตเลยว่ะ...
จริงอยู่คำตอบของผมอาจไม่โดนใจน้องเค้า แต่มันก็น่าจะสร้างความนึกไม่ถึงให้กับน้องเค้าได้ไม่มากก็น้อย เฉกเช่นกับการไปเที่ยวหัวหินหนล่าสุดของผม ที่ได้เจอบางสิ่งบางอย่างที่คาดคิดไม่ถึงว่าจะได้พบในอำเภอหัวหินแห่งนี้
บ้านป่าละอู
ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ที่ครั้งที่ไปเที่ยวหัวหิน
ถ้าไม่ได้ไปเหยียบทะเลก็ต้องไปเห็นทะเล
ถ้าไม่ได้ไปเที่ยวแสงสีราตรีก็ต้องไปหาร้านนั่งดื่มกินยามราตรี
ถ้าไม่ได้ไปกินเหล้าก็ต้องไปกินเบียร์
แต่การไปหัวหินครั้งล่าสุดนี้กลับแตกต่างออกไป ผมไม่ได้ไปเห็นทะเล ไม่ได้ไปเจอแสงสี และก็ไม่ได้ไปหาไอ้เก็ท ไม่ได้ไปกินเหล้ากะมัน หากแต่ไปเที่ยวป่า ไปน้ำตกป่าละอู(อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน) และไปดูวิถีชีวิตชุมชนในตำบลห้วยสัตว์ใหญ่ที่ได้รับยกให้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยว OVC (OVC : OTOP Village Champion) 1 ใน 9 หมู่บ้านเด่นที่มีศักยภาพในการพัฒนาต่อยอด
ชุมชนห้วยสัตว์ใหญ่ อยู่ห่างจากตัวเมืองหัวหินไปทางน้ำตกป่าละอูประมาณ 50 กม. ซึ่งหลายๆคนไม่คิดว่าใกล้ๆเมืองหัวหินจะมีแบบนี้ด้วย บางคนบอกเป็นอันซีนหัวหิน บางคนบอกเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางเลือก เพราะมันมีบรรยากาศที่แตกต่างจากเมืองหัวหินอยู่ไม่น้อยเลย โดยเฉพาะวิถีชุมชนชาวบ้านป่าอันเรียบง่าย สงบงาม ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ชุมชนห้วยสัตว์ใหญ่ มีกลุ่มหมู่บ้านท่องเที่ยว OVC ประกอบด้วย บ้านฟ้าประทาน บ้านโคนมพัฒนา บ้านเฉลิมพระเกียรติพัฒนา บ้านป่าละอู ซึ่งแต่ละหมู่บ้านมีจุดเด่นแตกต่างกันออกไป อาทิ บ้านฟ้าประทาน มีทรัพยากรน้ำตกป่าละอูอันสวยงาม บ้านโคนมพัฒนาเป็นแหล่งเลี้ยงโคนมแหล่งใหญ่ อันเป็นอาชีพพระราชทานจากในหลวงตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง โดยน้ำนมดิบที่นี่จะถูกส่งตรงเข้าโรงผลิตนมสวนจิตรลดาทุกวัน
แต่ที่นึกไม่ถึงสำหรับผมว่าจะมีในอำเภอหัวหินกับเป็น บ้านป่าละอูและบ้านเฉลิมพระเกียรติพัฒนา
ที่บ้านป่าละอู ดูน่าทึ่งเพราะเป็นหมู่บ้านของชนพื้นเมืองกะเหรี่ยง กะหร่าง ที่ยังคงดำรงวิถีชีวิตอย่างเรียบง่าย แบบดั้งเดิม นับถือผี นับถือธรรมชาติ ชนิดที่หมู่บ้านชาวเขาทางเหนือยังอาย เพราะนับวันยิ่งมาหมู่บ้านชาวเขาทางเหนือยิ่งถูกกระแสทุนนิยมบุกถล่มจนเปลี่ยนแปลงไปมากมาย แต่ที่บ้านป่าละอูนี่ยังดูดีอยู่
อย่างไรก็ตามการที่ทางการเปิดหมู่บ้านนี้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว ถือเป็นดาบ 2 คม ที่ด้านหนึ่งสร้างงานสร้างรายได้ให้กับชุมชน อีกด้านหนึ่งก็นำความเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมวัฒนธรรม และสิ่งแปลกปลอมจากวิถีต่างถิ่นที่อาจเป็นพิษต่อชุมชนมาสู่บ้านป่าละอู เรื่องนี้จำเป็นที่ทางการ ชุมชน และนักท่องเที่ยว ต้องพึงระวังให้ดี
บ้านเฉลิมพระเกียรติพัฒนา
อีกหนึ่งหมู่บ้านที่สร้างความนึกไม่ถึงให้กับผมว่าจะมีในหัวหินก็คือ บ้านเฉลิมพระเกียรติพัฒนา หมู่บ้านนี้ดูเผินๆดูเหมือนหมู่บ้านชายป่าทั่วไป แต่ที่พิเศษก็คือทางเข้าหมู่บ้านนี้ต้องผ่านเขตอุทยานฯแก่งกระจานที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้ ทำให้ช่วงเย็นๆระหว่างทางใครโชคดีก็จะได้พบกับสัตว์ป่าหลากหลายชนิด โดยเฉพาะช้างป่าที่ออกมาหากินเป็นประจำ
แต่ประทานโทษ งานนี้ช่วงเย็นผมโชคไม่ดี ไม่มีโอกาสเห็นช้างป่าตัวเป็นๆ เจอแต่ขี้ช้าง 2-3 กอง
“เอาไว้ดูตอนกลางคืนที่หอดูช้างดีกว่า มีโอกาสเจอช้างป่าอีกรอบนึงเหมือนกัน” วิสุทธ์ วันดี เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวอบต.ห้วยสัตว์ใหญ่บอกกับผม
พอยามรัตติกาลมาเยือน ผมกับเพื่อนๆจึงขึ้นรถกระบะออกไปชมช้างป่าตามคำชวนของวิสุทธิ์ที่หอดูช้างป่าและพื้นที่เฝ้าระวังช้างป่าลงมากินพืชไร่ที่ชาวบ้านเขาจัดทำจัดสร้างกันขึ้นมา
พูดถึงปัญหาช้างป่าบุกรุกกินพืชไร่ นั้นเป็นปัญหาคลาสสิคที่แต่ละพื้นที่พยายามหาวิธีแก้ไขป้องกันให้คนกับช้างอยู่ร่วมกันได้โดยสันติ สำหรับที่บ้านเฉลิมพระเกียรตินั้น ผู้ใหญ่มนูญ ทองแย้ม แกนนำสำคัญของโครงการคน-ช้างอยู่ร่วมกันเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว เริ่มมีช้างป่าจากป่าหุบเต่าในพื้นที่อุทยานฯแก่งกระจานลงมากินพืชไร่ของชาวบ้าน ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากการที่ผืนป่าและอาหารการกินในป่าคงลดน้อยลง ปัจจุบันมีช้างป่าประมาณ 60-70 ตัว ออกหากินแต่ละคราวเป็นจุดๆ จุดละประมาณ 10 ตัว
“ช่วงแรกๆช้างได้มาทำลายพืชไร่เราหมด ทำมาหากินไม่ได้เลย ประมาณ ปี 31 มีกลุ่มอนุรักษ์ช้างป่าเข้ามาช่วยชาวบ้านจัดกิจกรรมเพื่อการท่องเที่ยว ให้คนกับช้างอยู่ร่วมกันได้” ผู้ใหญ่มนูญเล่า
จากนั้นชาวบ้านร่วมกันจัดโครงการคนกับช้างป่าอยู่ร่วมกัน โดยได้จัดสร้างแนวรั้วธรรมชาติขึ้นมาป้องกันช้างป่าบุกรุก และมีหอดูช้างอยู่ 10 จุด
แต่ประทานโทษ ดูเหมือนช้างป่าในพักหลังมานี่มันเริ่มชิน มันไม่กลัว ชาวบ้านจึงต้องใช้วิธี“ไล่” ให้มันกลับไปหากินในป่า
ชาวบ้านที่นี่ไม่ใช้“มือตบ”ไล่ เหมือนพันธมิตรไล่ทรราชบางคน แต่เขามีวิธีการของพวกเขา แถมทำเป็นลำดับขั้นไป พอช้างมาชนลวดส่งสัญญาณ(ไม่ใช่ลวดไฟฟ้า ไม่มีผลกระทบต่อร่างกายช้าง)สัญญาณหวอจะดังขึ้นเพื่อปลุกอาสาสมัครชาวบ้านที่แบ่งทีมเวร-ยาม ทีมละประมาณ 6 คน มาทำการไล่ช้าง โดยขั้นแรกจะใช้“ลูกปง”(ประทัดยักษ์) จุดไล่
“ลูกปงมันดังแรงกว่าประทัด จุดแล้ว 3 วิ(นาที) ให้โยนขึ้นฟ้า ช้างมันจะตกใจหนีไป ถ้าไม่หนีอาจใช้ปืนลูกซองยิงขู่บ้าง” ผู้ใหญ่มนูญเล่า
นี่ขนาดชาวบ้านไล่ช้างยังกลัวช้างบาดเจ็บ ผิดกับตำรวจที่สลายการชุมนุมวันที่ 7 ต.ค. ไอ้พวกนี้นอกจากมันไม่กลัวบาดเจ็บแล้วยังกะเอากันให้ถึงตายอีกด้วย ฟังแล้วมันน่าเศร้าชะมัด
เฮ้อ...เปลี่ยนมาฟังเรื่องแทบไม่น่าเชื่อของคนกับช้างที่นี่ต่อดีกว่า
ในกรณีที่ชาวบ้านเขาไล่ช้างไม่ไป เพราะตอนหลังช้างเริ่มชิน เริ่มรู้เขารู้เรา
“เราจะพูดกับเขาดีๆว่า พี่(ช้าง)ครับเข้ามาดีๆนะ อย่ามาทำให้พืชไร่เสียหายนะ มันได้ผลด้วยนะ เค้าฟังเรารู้เรื่อง พวกนี้น่ะแสนรู้ แต่ถ้าเราจะไปทำร้ายเขา เขาจะโกรธและทำร้ายเอา”ผู้ใหญ่มนูญบอก
และด้วยการเอาล่อเอาเถิดไล่ช้างเป็นกิจวัตรกิจกรรมแอบดูช้างที่นี่มีชีวิตชีวาด้วยเรื่องเล่า และการสาธิตการไล่ช้าง การเฝ้าซุ่มดูช้างทั่งที่หอส่องสัตว์ และตามแนวโป่ง ซึ่งในคืนนั้น พวกเราไม่เจอช้างเหมือนตอนเย็นอีกแล้วครับทั่น ได้ยินแต่เสียงหวอดังระงมเนื่องจากมันมาชนลวดสัญญานอยู่บ่อยครั้ง
เมื่อเฝ้ารออยู่นานไม่เจอ เราจึงตัดสินใจไปหามัน เพราะวิสุทธิ์บอกว่าช่วงมืดๆอย่างนี้จะมีช้างอยู่คู่หนึ่งมาหากินริมถนน(สาย 3219 หัวหิน-ป่าละอู)แถวอ่างเก็บน้ำห้วยพุไทรอยู่เป็นประจำ
ว่าแล้วเราก็ไม่รีรอรีบเดินทางไป และก็เห็นช้างคู่หนึ่งออกหาหินอยู่ข้างทาง ชาวบ้านเรียกมันว่าพี่ใหญ่กับแฟน พวกเรายืนดูอยู่ห่างๆเห็นมันยืนคลอเคล้าแอบอิงกันดูน่ารักน่าชัง จากนั้นไม่นานพอมีรถแล่นผ่านมา เปิดไฟสว่างจ้ามันก็จะวิ่งหนีแสงไปหลบเข้าไปในดงไม้ริมทางก่อนออกมาหากินใหม่ เป็นแบบนี้ประจำ
ซึ่งการได้เจอช้างป่าตัวเป็นๆทำเอาผมดีใจจนเนื้อเต้น แต่ชาวบ้านบอกไม่อยากเจอเพราะพวกเขาต้องเหนื่อยกับมันไม่น้อย ส่วนช้างจะคิดยังไง ไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่า แม้ผม ชาวบ้าน และช้าง จะมีความคิดและวิถีที่แตกต่างกัน แต่เมื่อเราเคารพซึ่งกันและกัน ก็สามารถอยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้ได้อย่างสันติ
นี่ไยมิใช่เสน่ห์ประการหนึ่งของความแตกต่าง