โดย : หนุ่มลูกทุ่ง
“วัดโพธิ์” หรือ “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม” นั้น เป็นวัดที่ฉันได้มาเยือนอยู่บ่อยครั้ง โดยแต่ละครั้งที่มาก็จะมีสิ่งที่น่าสนใจแตกต่างกันไปทุกครั้ง อย่างในวันนี้ที่วัดโพธิ์เขาจัดให้มีงาน “9 สิ่งมหัศจรรย์วัดโพธิ์” ซึ่งเป็นการดึงเอาสิ่งที่น่าสนใจ 9 อย่างมาทำเป็นเส้นทางให้นักท่องเที่ยวได้ชม พร้อมกับใส่มินิไลท์แอนด์ซาวนด์แบบเล็กๆ เข้าไปเพิ่มความน่าสนใจ และเปิดให้เข้าชมวัดโพธิ์กันในช่วงกลางคืนโดยมีคนบรรยายตลอดเส้นทาง ชมการสาดแสงไฟใส่โบราณสถานในพื้นที่สำคัญๆของวัด และมีเสียงบรรยายประกอบในแต่ละจุดที่เราเดินเข้าไปชม
ในส่วนของ 9 สิ่งมหัศจรรย์ที่ว่านี้ บางอย่างก็คือของเดิมที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่บางอย่างถือว่าเป็นอันซีนสุดๆ เพราะปกติจะไม่เปิดให้เข้าชมกัน จะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันดีกว่า
เริ่มจากมหัศจรรย์ที่ 1 “มหัศจรรย์พระไสยาส” พระพุทธไสยาสเป็นพระพุทธรูปปางโปรดอสุรินทราหู ประดิษฐานอยู่ในวิหารพระพุทธไสยาส พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปนอนที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ คือมีขนาดความยาว 1 เส้น 3 วา หรือ 46 เมตร ความสูง 15 เมตร สร้างแบบก่ออิฐถือปูนแล้วลงรักปิดทองจนทั่วทั้งองค์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 เป็นผู้โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเมื่อครั้งปฏิสังขรณ์วัดครั้งใหญ่ ซึ่งพระพุทธรูปองค์ใหญ่ขนาดนี้จึงต้องสร้างองค์พระพุทธรูปขึ้นก่อน แล้วจึงสร้างวิหารครอบองค์พระทีหลัง
หลังจากจะได้ตื่นตะลึงกับความใหญ่โตอลังการของพระพุทธไสยาสแล้ว ก็อย่าลืมเดินมาที่พระบาทของพระพุทธรูปเพื่อชมการประดับมุกเป็นภาพมงคล 108 ประการบนฝ่าพระบาทแต่ละข้าง โดยการประดับลวดลาย 108 ประการไว้ที่ฝ่าเท้าของพระพุทธไสยาสน์นั้น เป็นไปตามคติอินเดียโบราณที่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งคือฝ่าพระบาทมีลายมงคล 108 ประการ ได้แก่ ปราสาท หอยสังข์ ช้างแก้ว นก หงส์ ภูเขา เมฆ ฯลฯ ตรงกลางเป็นรูปกงจักร แสดงถึงพระบุญญาบารมีอันแรงกล้า
มหัศจรรย์ที่ 2 คือ “มหัศจรรย์ตำราเวชเชตุพน” ที่บริเวณศาลาจารึกตำรานวดแผนโบราณ ใกล้กับเจดีย์ 4 รัชกาล ในศาลาหลังนี้มีศิลาจารึกเกี่ยวกับการรักษาโรค มีภาพจิตรกรรมลายเส้นบอกตำแหน่งต่างๆของอวัยวะในร่างกาย และจุดต่างๆ สำหรับการนวด โดยการนวดไทยที่วัดโพธิ์นั้นก็ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งจุดกำเนิดของการนวดนั้นก็อยู่ตรงนี้เอง
มาต่อกันที่มหัศจรรย์ที่ 3 “มหัศจรรย์มหาเจดีย์สี่รัชกาล” วัดโพธิ์ได้ชื่อว่าเป็นวัดแห่งเจดีย์ เพราะมีเจดีย์มากถึง 99 องค์ โดยเจดีย์องค์ใหญ่และโดดเด่นที่สุดในวัดก็คือมหาเจดีย์ขนาดใหญ่ 4 องค์ด้วยกัน ซึ่งเป็นพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1-4 สำหรับพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1 นั้นเป็นเจดีย์กระเบื้องเคลือบสีเขียว มีนามว่า “พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ” พระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 2 เป็นเจดีย์กระเบื้องเคลือบสีขาว นามว่า “มหาพระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกรกนิทาน”
พระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 3 เป็นเจดีย์ที่ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง นามว่า “พระมหาเจดีย์มุนีบัตบริขาร” และพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 4 ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีขาบหรือน้ำเงินเข้ม มีนามว่า “พระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย”
ที่วัดโพธิ์นี้ยังมีความเกี่ยวข้องกับตำนานสงกรานต์อีกด้วย โดยมหัศจรรย์ที่ 4 “มหัศจรรย์ต้นตำนานสงกรานต์ไทย” ที่มีคติความเชื่อเกี่ยวกับตำนานนางสงกรานต์ ที่เกี่ยวข้องกับท้าวกบิลพรหมและธรรมบาลกุมาร จนเป็นที่มาของนางสงกรานต์ทั้งเจ็ด โดยรัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯให้จารึกเรื่องราวเหล่านี้ลงในแผ่นศิลาติดไว้ในวิหารที่อยู่ระหว่างพระมณฑปและพระมหาเจดีย์ 4 รัชกาล แต่ปัจจุบันศิลาจารึกเหล่านั้นไม่มีให้เห็นแล้ว ตำนานนางสงกรานต์ที่จะได้ชมกันในวันนี้จึงอยู่ในรูปของสื่อมัลติมีเดียแทนซึ่งก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบหนึ่ง
เดินผ่านพระมณฑปมาชม “มหัศจรรย์มรดกโลกวัดโพธิ์” ที่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทางยูเนสโก (UNESCO) ก็ได้มีมติรับรองให้จารึกวัดโพธิ์ทั้ง 8 หมวด ขึ้นทะเบียนเป็นเอกสารมรดกความทรงจำแห่งโลก ความดีความชอบอันนี้ต้องถวายแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เพราะพระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ให้วัดโพธิ์เป็นแหล่งความรู้ของมหาชนโดยไม่เลือกชนชั้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมและเลือกสรรตำรับตำราวิชาความรู้ต่างๆ มาจารึกไว้บนแเผ่นศิลา และประดับไว้ในบริเวณวัดโพธิ์แห่งนี้ ทำให้คนทุกชนชั้นสามารถมาหาความรู้จากวัดโพธิ์ได้ทั่วถึงกัน โดยศิลาจารึกบางหมวด เช่น จารึกนิทาน 12 เหลี่ยม และโคลงโลกนิติ ก็จารึกไว้ที่บริเวณศาลาทิศที่ล้อมพระมณฑป ที่ปัจจุบันศาลาเหล่านี้ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์เก็บของมีค่าของวัดไว้นั่นเอง
มหัศจรรย์ต่อมาคือ “มหัศจรรย์ตำนานยักษ์วัดโพธิ์” ที่คนชอบเข้าใจผิดว่าตุ๊กตาหินจีนตัวโตที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูทางเข้าต่างๆ นั้นคือยักษ์วัดโพธิ์ แต่ยักษ์วัดโพธิ์จริงๆแล้วนั้นมีอยู่สองตน ยืนเฝ้าซุ้มประตูทางเข้ามณฑปอยู่เงียบๆ แต่แม้จะยืนเงียบๆอย่างนี้แต่หลายคนก็คงเคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับท่าเตียนที่ว่ายักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้งมาตีกันจนทำให้พื้นที่บริเวณนั้นถูกทำลายจนราบเรียบจนเรียกกันว่าท่าเตียนมาจนปัจจุบัน
มีคำถามถามกันบ่อยๆ ว่า ยักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้งวัดไหนดุกว่ากัน ฉันขอตอบฟันธงขาดเลยว่ายักษ์วัดโพธิ์ดุกว่าแน่ๆ เพราะแม้จะมีขนาดเล็กกว่ายักษ์วัดแจ้งหลายเท่า แต่ก็คงต้องมีฤทธิ์ก็มากเสียจนต้องให้อยู่ในตู้กระจกหน้าพระมณฑป ไม่อย่างนั้นอาจจะมาแผลงฤทธิ์ตีกันอีกก็เป็นได้
มาถึงมหัศจรรย์ที่ 7 “มหัศจรรย์ผ่านภพรัตนโกสินทร์” อันนี้ถือว่าเป็นอันซีนโดยแท้ เพราะเราจะได้เข้าไปชมพระอุโบสถหลังเก่าของวัดโพธาราม ที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ภายหลังการสถาปนาพระอุโบสถหลังใหม่ของวัดพระเชตุพนแล้ว พระอุโบสถหลังนี้จึงลดฐานะลงเป็นเพียงศาลาการเปรียญอย่างในปัจจุบัน
ภายในพระอุโบสถหลังเก่านี้มี “พระพุทธศาสดา” ประดิษฐานเป็นพระประธานอยู่ภายใน ซึ่งก็เป็นพระพุทธรูปองค์ดั้งเดิมตั้งแต่สมัยอยุธยาด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีบุษบกเก่าแก่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับวัดตั้งอยู่เบื้องหน้าพระประธานอีกด้วย
แต่ถ้าใครฟังจากชื่อมหัศจรรย์ผ่านภพรัตนโกสินทร์แล้ว ก็ยังไม่เห็นจะผ่านพิภพตรงไหน ฉันขอแนะนำให้มายืนอยู่ด้านนอกประตูศาลาการเปรียญ ลองมองดูที่พื้นศาลาจะเห็นสติ๊กเกอร์อันซีนติดอยู่ตัวเบ้อเริ่ม ก็ให้ไปยืนเหยียบป้ายนี้เอาไว้ มองไปภายในศาลาการเปรียญจะเห็นพระพุทธศาสดาประดิษฐานซ้อนกับบุษบกราวกับพระพุทธรูปมาประทับอยู่ในบุษบก นี่คือยุคอยุธยา แต่หากหันหลังกลับไปมองในจุดเดียวกันนี้ ก็จะเห็นพระปรางค์วัดอรุณอยู่ไกลๆ นั่นก็คือตัวแทนของยุคธนบุรี ส่วนจุดที่เรายืนอยู่นี้ก็คือยุครัตนโกสินทร์ ตรงจุดนี้จึงเรียกว่าเป็นมหัศจรรย์ผ่านภพรัตนโกสินทร์ด้วยประการฉะนี้
คราวนี้ไปไหว้พระกันที่พระอุโบสถกันบ้าง “มหัศจรรย์วิจิตรพระพุทธเทวปฏิมากร” พระพุทธรูปประธานภายในพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ซึ่งรัชกาลที่ 1 ทรงอัญเชิญมาจากวัดศาลาสี่หน้าหรือวัดคูหาสวรรค์ พระพุทธเทวปฏิมากรนี้เป็นพระพุทธรูปโบราณมีพระลักษณะอันงามยากที่จะหาพระพุทธรูปอื่นมาเปรียบได้ ดูจากชื่อก็คงพอทราบแล้วว่างดงามราวกับเทวดามาสร้างไว้ ส่วนใครเป็นผู้สร้างและได้สร้างขึ้นเมื่อใดนั้นไม่มีหลักฐานให้ทราบ
คราวนี้ก็มาถึงมหัศจรรย์สุดท้ายกันแล้ว ที่ “มหัศจรรย์ต้นตำรับนวดแผนไทย” ที่รัชกาลที่ 1 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้รวบรวมการแพทย์แผนโบราณและศิลปะวิทยาการครั้งกรุงศรีอยุธยาไว้ อีกทั้งทรงพระราชดำรินำเอาท่าดัดตนอันเป็นการพักผ่อนอิริยาบถแก้เมื่อยตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย และประยุกต์กับคติไทยที่ยกย่องฤษีเป็นครูผู้ประสิทธิ์ประสาทวิทยาการต่างๆ เป็นรูปฤาษีดัดตน แสดงท่าไว้ที่วัดเพื่อให้ราษฎรทั่วไปได้ศึกษาเล่าเรียนและรักษาโรคได้อย่างกว้างขวาง
จบการชม 9 สิ่งมหัศจรรย์วัดโพธิ์ด้วยการนวดแผนไทยผ่อนคลายให้สบายกันเสียก่อนหลังจากที่เดินชมกันเสียทั่ววัด นับว่าเป็นการปิดท้ายที่น่าประทับใจจริงๆ งานน่าสนใจอย่างนี้มีญาติต้องบอกญาติ มีเพื่อนต้องบอกเพื่อน มีแฟนต้องบอกกิ๊ก อ้อ... อย่าลืมบอกด้วยว่าภายในเดือนตุลาคมนี้ชมฟรี หลังจากนั้นต้องเสียตังค์แล้วจ้ะ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
งาน “9 สิ่งมหัศจรรย์วัดโพธิ์” กำหนดจัดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551-6 เมษายน 2552 ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เปิดให้เข้าชมทุกวัน ในเวลา 19.00-22.00 น. รับผู้เข้าชม 6 รอบ รอบละ 50 คน (ภาษาไทย 3 รอบ ภาษาอังกฤษ 3 รอบ) ในเดือนตุลาคมนี้เปิดให้เข้าชมฟรี หลังจากนั้นจะจำหน่ายบัตรเข้าชมในราคา คนไทย 50 บาท/คน ชาวต่างชาติ 200 บาท/คน สอบถามรายละเอียดโทร.0-2226-0335, 0-2226-0369 ในเวลา 09.00-16.00 น.
“วัดโพธิ์” หรือ “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม” นั้น เป็นวัดที่ฉันได้มาเยือนอยู่บ่อยครั้ง โดยแต่ละครั้งที่มาก็จะมีสิ่งที่น่าสนใจแตกต่างกันไปทุกครั้ง อย่างในวันนี้ที่วัดโพธิ์เขาจัดให้มีงาน “9 สิ่งมหัศจรรย์วัดโพธิ์” ซึ่งเป็นการดึงเอาสิ่งที่น่าสนใจ 9 อย่างมาทำเป็นเส้นทางให้นักท่องเที่ยวได้ชม พร้อมกับใส่มินิไลท์แอนด์ซาวนด์แบบเล็กๆ เข้าไปเพิ่มความน่าสนใจ และเปิดให้เข้าชมวัดโพธิ์กันในช่วงกลางคืนโดยมีคนบรรยายตลอดเส้นทาง ชมการสาดแสงไฟใส่โบราณสถานในพื้นที่สำคัญๆของวัด และมีเสียงบรรยายประกอบในแต่ละจุดที่เราเดินเข้าไปชม
ในส่วนของ 9 สิ่งมหัศจรรย์ที่ว่านี้ บางอย่างก็คือของเดิมที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่บางอย่างถือว่าเป็นอันซีนสุดๆ เพราะปกติจะไม่เปิดให้เข้าชมกัน จะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันดีกว่า
เริ่มจากมหัศจรรย์ที่ 1 “มหัศจรรย์พระไสยาส” พระพุทธไสยาสเป็นพระพุทธรูปปางโปรดอสุรินทราหู ประดิษฐานอยู่ในวิหารพระพุทธไสยาส พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปนอนที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ คือมีขนาดความยาว 1 เส้น 3 วา หรือ 46 เมตร ความสูง 15 เมตร สร้างแบบก่ออิฐถือปูนแล้วลงรักปิดทองจนทั่วทั้งองค์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 เป็นผู้โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเมื่อครั้งปฏิสังขรณ์วัดครั้งใหญ่ ซึ่งพระพุทธรูปองค์ใหญ่ขนาดนี้จึงต้องสร้างองค์พระพุทธรูปขึ้นก่อน แล้วจึงสร้างวิหารครอบองค์พระทีหลัง
หลังจากจะได้ตื่นตะลึงกับความใหญ่โตอลังการของพระพุทธไสยาสแล้ว ก็อย่าลืมเดินมาที่พระบาทของพระพุทธรูปเพื่อชมการประดับมุกเป็นภาพมงคล 108 ประการบนฝ่าพระบาทแต่ละข้าง โดยการประดับลวดลาย 108 ประการไว้ที่ฝ่าเท้าของพระพุทธไสยาสน์นั้น เป็นไปตามคติอินเดียโบราณที่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งคือฝ่าพระบาทมีลายมงคล 108 ประการ ได้แก่ ปราสาท หอยสังข์ ช้างแก้ว นก หงส์ ภูเขา เมฆ ฯลฯ ตรงกลางเป็นรูปกงจักร แสดงถึงพระบุญญาบารมีอันแรงกล้า
มหัศจรรย์ที่ 2 คือ “มหัศจรรย์ตำราเวชเชตุพน” ที่บริเวณศาลาจารึกตำรานวดแผนโบราณ ใกล้กับเจดีย์ 4 รัชกาล ในศาลาหลังนี้มีศิลาจารึกเกี่ยวกับการรักษาโรค มีภาพจิตรกรรมลายเส้นบอกตำแหน่งต่างๆของอวัยวะในร่างกาย และจุดต่างๆ สำหรับการนวด โดยการนวดไทยที่วัดโพธิ์นั้นก็ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งจุดกำเนิดของการนวดนั้นก็อยู่ตรงนี้เอง
มาต่อกันที่มหัศจรรย์ที่ 3 “มหัศจรรย์มหาเจดีย์สี่รัชกาล” วัดโพธิ์ได้ชื่อว่าเป็นวัดแห่งเจดีย์ เพราะมีเจดีย์มากถึง 99 องค์ โดยเจดีย์องค์ใหญ่และโดดเด่นที่สุดในวัดก็คือมหาเจดีย์ขนาดใหญ่ 4 องค์ด้วยกัน ซึ่งเป็นพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1-4 สำหรับพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1 นั้นเป็นเจดีย์กระเบื้องเคลือบสีเขียว มีนามว่า “พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ” พระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 2 เป็นเจดีย์กระเบื้องเคลือบสีขาว นามว่า “มหาพระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกรกนิทาน”
พระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 3 เป็นเจดีย์ที่ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง นามว่า “พระมหาเจดีย์มุนีบัตบริขาร” และพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 4 ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีขาบหรือน้ำเงินเข้ม มีนามว่า “พระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย”
ที่วัดโพธิ์นี้ยังมีความเกี่ยวข้องกับตำนานสงกรานต์อีกด้วย โดยมหัศจรรย์ที่ 4 “มหัศจรรย์ต้นตำนานสงกรานต์ไทย” ที่มีคติความเชื่อเกี่ยวกับตำนานนางสงกรานต์ ที่เกี่ยวข้องกับท้าวกบิลพรหมและธรรมบาลกุมาร จนเป็นที่มาของนางสงกรานต์ทั้งเจ็ด โดยรัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯให้จารึกเรื่องราวเหล่านี้ลงในแผ่นศิลาติดไว้ในวิหารที่อยู่ระหว่างพระมณฑปและพระมหาเจดีย์ 4 รัชกาล แต่ปัจจุบันศิลาจารึกเหล่านั้นไม่มีให้เห็นแล้ว ตำนานนางสงกรานต์ที่จะได้ชมกันในวันนี้จึงอยู่ในรูปของสื่อมัลติมีเดียแทนซึ่งก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบหนึ่ง
เดินผ่านพระมณฑปมาชม “มหัศจรรย์มรดกโลกวัดโพธิ์” ที่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทางยูเนสโก (UNESCO) ก็ได้มีมติรับรองให้จารึกวัดโพธิ์ทั้ง 8 หมวด ขึ้นทะเบียนเป็นเอกสารมรดกความทรงจำแห่งโลก ความดีความชอบอันนี้ต้องถวายแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เพราะพระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ให้วัดโพธิ์เป็นแหล่งความรู้ของมหาชนโดยไม่เลือกชนชั้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมและเลือกสรรตำรับตำราวิชาความรู้ต่างๆ มาจารึกไว้บนแเผ่นศิลา และประดับไว้ในบริเวณวัดโพธิ์แห่งนี้ ทำให้คนทุกชนชั้นสามารถมาหาความรู้จากวัดโพธิ์ได้ทั่วถึงกัน โดยศิลาจารึกบางหมวด เช่น จารึกนิทาน 12 เหลี่ยม และโคลงโลกนิติ ก็จารึกไว้ที่บริเวณศาลาทิศที่ล้อมพระมณฑป ที่ปัจจุบันศาลาเหล่านี้ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์เก็บของมีค่าของวัดไว้นั่นเอง
มหัศจรรย์ต่อมาคือ “มหัศจรรย์ตำนานยักษ์วัดโพธิ์” ที่คนชอบเข้าใจผิดว่าตุ๊กตาหินจีนตัวโตที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูทางเข้าต่างๆ นั้นคือยักษ์วัดโพธิ์ แต่ยักษ์วัดโพธิ์จริงๆแล้วนั้นมีอยู่สองตน ยืนเฝ้าซุ้มประตูทางเข้ามณฑปอยู่เงียบๆ แต่แม้จะยืนเงียบๆอย่างนี้แต่หลายคนก็คงเคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับท่าเตียนที่ว่ายักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้งมาตีกันจนทำให้พื้นที่บริเวณนั้นถูกทำลายจนราบเรียบจนเรียกกันว่าท่าเตียนมาจนปัจจุบัน
มีคำถามถามกันบ่อยๆ ว่า ยักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้งวัดไหนดุกว่ากัน ฉันขอตอบฟันธงขาดเลยว่ายักษ์วัดโพธิ์ดุกว่าแน่ๆ เพราะแม้จะมีขนาดเล็กกว่ายักษ์วัดแจ้งหลายเท่า แต่ก็คงต้องมีฤทธิ์ก็มากเสียจนต้องให้อยู่ในตู้กระจกหน้าพระมณฑป ไม่อย่างนั้นอาจจะมาแผลงฤทธิ์ตีกันอีกก็เป็นได้
มาถึงมหัศจรรย์ที่ 7 “มหัศจรรย์ผ่านภพรัตนโกสินทร์” อันนี้ถือว่าเป็นอันซีนโดยแท้ เพราะเราจะได้เข้าไปชมพระอุโบสถหลังเก่าของวัดโพธาราม ที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ภายหลังการสถาปนาพระอุโบสถหลังใหม่ของวัดพระเชตุพนแล้ว พระอุโบสถหลังนี้จึงลดฐานะลงเป็นเพียงศาลาการเปรียญอย่างในปัจจุบัน
ภายในพระอุโบสถหลังเก่านี้มี “พระพุทธศาสดา” ประดิษฐานเป็นพระประธานอยู่ภายใน ซึ่งก็เป็นพระพุทธรูปองค์ดั้งเดิมตั้งแต่สมัยอยุธยาด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีบุษบกเก่าแก่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับวัดตั้งอยู่เบื้องหน้าพระประธานอีกด้วย
แต่ถ้าใครฟังจากชื่อมหัศจรรย์ผ่านภพรัตนโกสินทร์แล้ว ก็ยังไม่เห็นจะผ่านพิภพตรงไหน ฉันขอแนะนำให้มายืนอยู่ด้านนอกประตูศาลาการเปรียญ ลองมองดูที่พื้นศาลาจะเห็นสติ๊กเกอร์อันซีนติดอยู่ตัวเบ้อเริ่ม ก็ให้ไปยืนเหยียบป้ายนี้เอาไว้ มองไปภายในศาลาการเปรียญจะเห็นพระพุทธศาสดาประดิษฐานซ้อนกับบุษบกราวกับพระพุทธรูปมาประทับอยู่ในบุษบก นี่คือยุคอยุธยา แต่หากหันหลังกลับไปมองในจุดเดียวกันนี้ ก็จะเห็นพระปรางค์วัดอรุณอยู่ไกลๆ นั่นก็คือตัวแทนของยุคธนบุรี ส่วนจุดที่เรายืนอยู่นี้ก็คือยุครัตนโกสินทร์ ตรงจุดนี้จึงเรียกว่าเป็นมหัศจรรย์ผ่านภพรัตนโกสินทร์ด้วยประการฉะนี้
คราวนี้ไปไหว้พระกันที่พระอุโบสถกันบ้าง “มหัศจรรย์วิจิตรพระพุทธเทวปฏิมากร” พระพุทธรูปประธานภายในพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ซึ่งรัชกาลที่ 1 ทรงอัญเชิญมาจากวัดศาลาสี่หน้าหรือวัดคูหาสวรรค์ พระพุทธเทวปฏิมากรนี้เป็นพระพุทธรูปโบราณมีพระลักษณะอันงามยากที่จะหาพระพุทธรูปอื่นมาเปรียบได้ ดูจากชื่อก็คงพอทราบแล้วว่างดงามราวกับเทวดามาสร้างไว้ ส่วนใครเป็นผู้สร้างและได้สร้างขึ้นเมื่อใดนั้นไม่มีหลักฐานให้ทราบ
คราวนี้ก็มาถึงมหัศจรรย์สุดท้ายกันแล้ว ที่ “มหัศจรรย์ต้นตำรับนวดแผนไทย” ที่รัชกาลที่ 1 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้รวบรวมการแพทย์แผนโบราณและศิลปะวิทยาการครั้งกรุงศรีอยุธยาไว้ อีกทั้งทรงพระราชดำรินำเอาท่าดัดตนอันเป็นการพักผ่อนอิริยาบถแก้เมื่อยตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย และประยุกต์กับคติไทยที่ยกย่องฤษีเป็นครูผู้ประสิทธิ์ประสาทวิทยาการต่างๆ เป็นรูปฤาษีดัดตน แสดงท่าไว้ที่วัดเพื่อให้ราษฎรทั่วไปได้ศึกษาเล่าเรียนและรักษาโรคได้อย่างกว้างขวาง
จบการชม 9 สิ่งมหัศจรรย์วัดโพธิ์ด้วยการนวดแผนไทยผ่อนคลายให้สบายกันเสียก่อนหลังจากที่เดินชมกันเสียทั่ววัด นับว่าเป็นการปิดท้ายที่น่าประทับใจจริงๆ งานน่าสนใจอย่างนี้มีญาติต้องบอกญาติ มีเพื่อนต้องบอกเพื่อน มีแฟนต้องบอกกิ๊ก อ้อ... อย่าลืมบอกด้วยว่าภายในเดือนตุลาคมนี้ชมฟรี หลังจากนั้นต้องเสียตังค์แล้วจ้ะ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
งาน “9 สิ่งมหัศจรรย์วัดโพธิ์” กำหนดจัดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551-6 เมษายน 2552 ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เปิดให้เข้าชมทุกวัน ในเวลา 19.00-22.00 น. รับผู้เข้าชม 6 รอบ รอบละ 50 คน (ภาษาไทย 3 รอบ ภาษาอังกฤษ 3 รอบ) ในเดือนตุลาคมนี้เปิดให้เข้าชมฟรี หลังจากนั้นจะจำหน่ายบัตรเข้าชมในราคา คนไทย 50 บาท/คน ชาวต่างชาติ 200 บาท/คน สอบถามรายละเอียดโทร.0-2226-0335, 0-2226-0369 ในเวลา 09.00-16.00 น.