ว่ามั๊ย.. เวลาที่ใครหลายๆคนคิดจะไปเที่ยว ต่างก็มักจะนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ไกลๆ จนลืมนึกไปว่า เมืองติดกรุงอย่างสมุทรปราการหรือเมืองปากน้ำก็มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมายให้เราได้ค้นหากันอย่างสนุกสนาน เพลิดเพลิน และประทับใจ
อย่างทริปนี้ที่ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ขอพาผู้มีใจรักไปเที่ยวกับบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด หรือ เคทีซี พร้อมค้นหาเรื่องราวอธิปไตยเหนือผืนแผ่นดินไทยกันที่ “ป้อมพระจุลจอมเกล้า” ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ แต่ว่าก่อนที่จะมาค้นหาความเป็นมาของป้อมพระจุลฯ นี้ เมื่อมาถึงเราขอไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำป้อมกันก่อน นั้นก็คือ “ศาลพระนเรศ-นารายณ์” ซึ่งพระนเรศ-นารายณ์ ถือเป็นเทพทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ว่ากันว่าสร้างมาพร้อมกับการสร้างป้อม เพื่อเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำป้อมพระจุลจอมเกล้า
เมื่อจุดธูปไหว้ศาลพระนเรศ-นารายณ์แล้ว พวกเราก็ต้องไปกราบสักการะ "พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" รัชกาลที่ 5 ที่ประทับยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บริเวณหน้าป้อมปืน พระบรมราชานุสาวรีย์นี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2536 ขนาดพระบรมรูปสูง 4.2 เมตร หรือสองเท่าครึ่งขององค์จริง ฉลองพระองค์ในชุดจอมทัพเรือ ซึ่งถือได้ว่าเป็นที่เดียวที่ ร.5 ทรงชุดทหารเรือเลยก็ว่าได้
หลังจากสักการะเสด็จพ่อ ร.5 ด้วยธูปและดอกกุหลาบแดงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ก็ขอสมมุติว่ากำลังนั่งไทมแมกซีนของโดราเอมอนย้อนเวลากลับไปในสมัยรัชกาลที่ 5 นั่นเชียว
โดยช่วงเวลานั้นกำลังเกิดการปฏิวัติอุสาหกรรมขึ้นในแถบยุโรป เกิดการแก่งแย่งขยายอำนาจ และการล่าอาณานิคมกระจายไปทั่วทุกดินแดน ร.5 ทรงเล็งเห็นว่าเหตุการณ์ไม่น่าไว้วางใจ อีกทั้งป้อมต่างๆที่เมืองปากน้ำสมุทรปราการซึ่งใช้เป็นที่มั่นในการป้องกันและตั้งรับข้าศึกที่จะเข้ามาทางทะเลนั้นล้วนแล้วแต่เป็นป้อมเก่าล้าสมัย ใช้ในการป้องกันบ้านเมืองไม่ได้ ร.5 จึงทรงมีพระราชโองการให้ปรับปรุงและซ่อมแซมป้อมเก่าและทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้จัดสร้างป้อมปราการที่ทันสมัยขึ้นมาอีกแห่งหนึ่งบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา
และแล้วการสร้างป้อมปราการทางน้ำแห่งนี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ.2427 โดยได้ทรงจัดหาปืนหลุมหรือ “ปืนเสือหมอบ” (Disappearing Gun) เข้าประจำการ โดยมีลักษณะเป็นปืนหลุมจำนวน 7 หลุม ถือเป็นปืนใหญ่บรรจุท้ายรุ่นแรกที่มีใช้ในกองทัพเรือ จึงทำให้ป้อมปืนแห่งนี้มีความทันสมัยที่สุดในขณะนั้น
ลักษณะพิเศษของปืนใหญ่แบบนี้เป็นปืนแบบหลุม ยกขึ้นลงด้วยระบบไฮโดรนิวเมติก โยใช้แรงดันอากาศดันน้ำมันไปดันก้านสูบให้ปืนยกตัวขึ้น และลดตัวลง หรือ “หมอบ” เมื่อผ่อนแรงดันน้ำมันลงไปในถังพัก นอกจากนี้ยังมีระบบผ่อนแรงดันโดยใช้แรงดันถอยอย่างเฉียบพลันของปืนที่เกิดจากการระเบิดของดินขับ ซึ่งจะทำให้ปืนหมอบลงทันทีเมื่อยิงเสร็จ พร้อมที่จะบรรจุลูกปืนใหม่ ทำให้ปืนนี้ชื่อว่า “ปืนเสือหมอบ” นั่นเอง
การดำเนินการสร้างป้อมที่บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยานี้ได้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2436 และในวันที่ 10 เมษายน ในปีเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินด้วยเรือพระที่นั่งมหาจักรีเพื่อทอดพระเนตรป้อม ทรงทดลองยิงปืนป้อมด้วยพระองค์เอง กับทรงพระราชทานชื่อป้อมแห่งนี้ว่า “ป้อมพระจุลจอมเกล้า” อีกด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน ป้อมพระจุลจอมเกล้าแห่งนี้ก็ได้มีโอกาสรับใช้ชาติและสามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างเต็มที่และสมเกียรติใน “วิกฤตการณ์ ร.ศ.112” หรือ “การยุทธที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา” เหตุการณ์เกิดขึ้นในตอนเย็นของวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2436 ขณะน้ำขึ้นสูงสุด เมื่อเรือรบฝรั่งเศสจำนวน 2 ลำ ได้ล่วงล้ำเข้าปากแม่น้ำเจ้าพระยา การสู้รบระหว่างฝายฝรั่งเศสกับฝ่ายไทย ซึ่งมีป้อมพระจุลจอมเกล้า ปืนเสือหมอบ พร้อมเรือรบอีก 5 ลำ จึงเริ่มต้นขึ้น
แม้การสกัดกั้นเรือรบฝรั่งเศสจะไม่สำเร็จแต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ก็ได้ก่อให้เกิดผลหลายประการ โดยเป็นเหตุให้ฝรั่งเศสยุติการสู้รบในกรณีพิพาทเรื่องเขตแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง อีกทั้งยังเป็นเหตุให้ไทยยอมเสียดินแดน 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมดให้ฝรั่งเศสไปเพื่อรักษาผืนแผ่นดินส่วนใหญ่และเอกราชไว้
หากใครอยากพังเรื่องราวแบบเต็มๆละก็ บริเวณใต้ฐานของพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.5 มี “ห้องจัดแสดงนิทรรศการประวัติศาสตร์ทหารเรือ” ที่ภายในมีวีดีทัศน์เล่าเรื่องราววิกฤตการณ์ร.ศ.112 ไว้อย่างน่าตื่นเต้น และเมื่อเข้าใจเรื่องราวกันอย่างละเอียดแล้ว คณะของเราก็ไปตื่นตากับปืนเสือหมอบ ณ “อุทยานประวัติศาสตร์ทหารเรือ” แต่พวกเราไม่ได้ทดลองยิงหรอกนะ ได้แต่ถ่ายรูปคู่เอาไว้เป็นที่ระลึก
แล้วพวกเราก็ไปต่ออารมณ์รักชาติกันที่ “พิพิธภัณฑ์เรือหลวงแม่กลอง” ซึ่งเป็นเรือที่ต่อจากอู่ประเทศญี่ปุ่น มีคู่แฝดคือเรือหลวงท่าจีน เรือหลวงแม่กลองเข้าประจำการในกองทัพเรือไทยใน พ.ศ.2480 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 8 และได้รับพระราชทานนามว่า “เรือหลวงแม่กลอง” และปลดระวางประจำการเมื่อ พ.ศ. 2539 รวมระยะเวลาประจำการ 59 ปี นับว่าเป็นเรือรบที่ประจำการยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์กองทัพเรือไทย และเป็นเรือรบที่มีความเก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจาก เรือ GUN SHIP ชื่อ GUANAJUATO ของประเทศเม็กซิโก
เรือหลวงแม่กลอง ยาว 85 เมตร กว้าง 10.5 เมตร ปฏิบัติภารกิจตามวัตถุประสงค์ 2 ประการนั้นคือ ในยามสงคราม ปฏิบัติภาระกิจในการป้องกันประเทศทางทะเลในหน้าที่ เรือสลุป ซึ่งสามารถทำการรบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในยามสงบ ปฏิบัติภารกิจเป็นเรือฝึกนักเรียนทหารและนายทหาร สำหรับฝึกภาคทางทะเล เป็นระยะทางไกลจนถึงเมืองท่าต่างประเทศ เพื่อให้ได้รับความรู้ความชำนาญในการเดินเรือและเป็นการอวดธงราชนาวีไปในตัวอีกด้วย
ปัจจุบันกองทัพเรือได้ดำเนินการอนุรักษ์และปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์เรือรบไทย เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสงานฉลองสิริราชสมบัติ ครบ 50 ปี พุทธศักราช 2539 มองดูจากภายนอกก็ว่าเรือลำนี้ช่างใหญ่โต แต่เมื่อได้เข้าไปด้านในยิ่งรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่อย่างเหลือเชื่อ หลังจากที่ปืนไต่บันไดเดินชมภายในเรือแล้วให้ความรู้สึกอยากเป็นทหารเรือกับเขาบ้างเหมือนกัน คงจะเท่น่าดู
จากนั้นพวกเราก็ไปตอกย้ำอารมณ์กันแบบสุดๆที่ “โรงเรียนนายเรือ” ใครที่เคยได้เข้าไปในโรงเรียนนายเรือนี้จะเห็นเรือลำใหญ่ตั้งอยู่บนบกกลางแจ้งอย่างโดดเด่น แต่สงสัยว่าทำไมเรือถึงมีส่วนประกอบไม่เต็มลำแล้วล่ะก็ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” จะตอบให้
เรือที่เห็นอย่างโดดเด่นนั้นคือ “อนุสรณ์สถานเรือหลวงธนบุรี” เป็นเรือปืนยามฝั่งที่ได้สร้างวีรกรรมการรบทางเรืออันยิ่งใหญ่ใน “ยุทธนาวีที่เกาะช้าง” เนื่องจากกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศสเมื่อ 17 มกราคม พ.ศ.2484 ฝรั่งเศสได้ส่งกำลังเรือ 5 ลำเข้ามาในน่านน้ำไทยทางด้านเกาะช้าง ด้วยความมุ่งหมายที่จะระดมยิงหัวเมืองชายทะเลทางภาคตะวันออกของประเทศไทยเป็นประการสำคัญ
กำลังทางเรือฝ่ายไทยที่เข้าทำการรบมี 3 ลำ คือ เรือหลวงธนบุรี เรือหลวงสงขลา และเรือหลวงชลบุรี และได้ระดมยิงสู้รบกัน แม้การรบทางเรือที่เกาะช้างในครั้งนี้ จะไม่จัดว่าเป็นการยุทธ์ใหญ่ก็ตาม แต่ก็นับว่าเป็นการรบทางเรือตามแบบอย่างยุทธวิธีสมัยใหม่ กำลังทางเรือของไทยเข้าทำการสู้รบกับกำลังทางเรือของข้าศึก ซึ่งเป็นชาติมหาอำนาจทางเรือ และมีจำนวนเรือที่มากกว่า จนข้าศึกต้องล่าถอยไม่สามารถปฏิบัติภารกิจการระดมยิงหัวเมืองชายทะเล ทางภาคตะวันออกของประเทศได้สำเร็จ จึงนับเป็นเกียรติประวัติอันน่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ซึ่งจะบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ของชาติไทย
ความเสียหายของเรือหลวงธนบุรียากจะซ่อมแซมจึงได้ปลดระวางหลังจากนั้น กองทัพเรือจึงได้นำชิ้นส่วนสะพานเดินเรือและหอรบของเรือหลวงธนบุรีมาตั้งไว้เป็นอนุสรณ์ที่โรงเรียนนายเรือแห่งนี้อย่างโดดเด่นเป็นสง่า ใกล้กันนั้นมี “หอดูดาว” ภายในมีพิพิธภัณฑ์เครื่องมือเดินเรือ ที่เราจะได้เห็นอุปกรณ์การเดินเรือสมัยก่อน รวมถึงเครื่องฉายดาว ซึ่งเป็นอุปกรณ์ประกอบที่สำคัญของท้องฟ้าจำลอง
พูดถึงท้องฟ้าจำลองแล้ว ที่นี่ถือเป็น “ท้องฟ้าจำลอง” แห่งแรกของประเทศไทยเลยทีเดียว เกิดก่อนท้องฟ้าจำลองที่เอกมัย กรุงเทพฯ เสียอีก เพราะสำหรับเหล่าลูกประดู่แล้วตำแหน่งของดวงดาวมีความสำคัญในการเดินเรือกลางมหาสมุทรที่มีแต่ผืนน้ำจรดผืนฟ้า
นอกจากนี้ภายในโรงเรียนนายเรือยังมีสถานที่และเรื่องราวที่น่าสนใจอีกมาก อาทิ ป้อมเสือซ่อนเล็บ 1 ใน24 ป้อมที่โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อป้องกันการรุกรานของข้าศึกที่ในสมัยก่อนมักจะมาทางเรือเพื่อรักษาอธิปไตยของชาติเอาไว้ นี่แหละความภูมิใจของราชนาวีไทย
หลังจากซึมซับประวัติศาสตร์ราชนาวีกันแล้ว ชาวคณะของเราย้ายสถานที่เปลี่ยนอารมณ์ไปชมธรรมชาติและผ่อนคลายอารมณ์กันที่ “ศูนย์ศึกษาธรรมชาติกองทัพบก (บางปู) เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษามหาราชินี” พวกเราเดินเข้าสู่เส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนกันในทันที พร้อมทั้งแอบดูนกประจำถิ่นที่ทำรังอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วนก่อนที่จะไปปล่อยอารมณ์ยามเย็นแบบชิลล์ชิลล์กันที่ “สถานตากอากาศบางปู”
ในช่วงเดือนนี้แม้จะไม่มีนกนานาชนิดมาบินร่อนอวดโฉม แต่บนสะพานสุขตาก็มากไปด้วยผู้คนที่มาชื่นชมบรรยากาศสดชื่นและกินอาหารอร่อยๆ “ศาลาสุขใจ” เหมือนกับพวกเรา และที่สำคัญในทุกๆเย็นวันเสาร์จะมีเวทีลีลาศให้ได้วาดลวดลายกันด้วย วันหยุดนี้ใครยังไม่มีที่ไปละก็อย่าลืมเมืองปากน้ำไว้พิจารณา
เมืองที่อยู่ใกล้กรุงแค่นี้เอง
*****************************************
หากต้องการเข้าชม ห้องจัดแสดงนิทรรศการประวัติศาสตร์ทหารเรือ (ป้อมพระจุล) ต้องขออนุญาตล่วงหน้าก่อนที่ ฝ่ายกิจการพลเรือน ป้อมพระจุลฯ โทร.0-2475-6073 ส่วนหอดูดาว โรงเรียนนายเรือ ต้องมาเป็นหมู่คณะและต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าก่อนที่ นาวาตรีรักพงศ์ ตันทสุวรรณ โทร.0-2475-3963
สำหรับที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติกองทัพบก (บางปู) หากต้องการสำรวจเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน จะเปิดให้เข้าชมได้ในช่วงเดือนตุลาคม-เมษายน ส่วนในเดือนพฤษภาคม-กันยายน จะเป็นช่วงที่นกทำรังวางไข่จึงไม่อนุญาตให้เข้าชม ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสอบถามได้ที่ จ่านิเวศ 08-9006-8116