โดย : หมวยเกี๊ยะ
ตั้งแต่มี"กระแสเกาหลีฟีเว่อร์" เกิดขึ้นในบ้านเราเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ต้องยอมรับเลยว่าชื่อเสียงของ "ประเทศเกาหลี(ใต้)" ดินแดนกิมจิ หรือดินแดนโสมแห่งนี้ นั้นมีมนต์เสน่ห์ดึงดูดให้ใครต่อใครหลายๆ อยากจะเดินทางไปเที่ยวที่เกาหลีกันเสียเหลือเกิน
สำหรับฉันถึงจะไม่ใช่สาวกเคป็อปที่คลั่งไคล้ความเป็นเกาหลีมากนัก แต่อย่างน้อยฉันก็ชอบดูละครเกาหลีที่มีมาฉายในบ้านเรา และจากการได้ดูละครเกาหลีนี่แหละ ก็ตัวจุดชนวนให้ฉันฝันที่อยากจะไปเที่ยวเกาหลีกับเขาบ้างสักครั้งในชีวิต อยากจะไปสัมผัสกับภูมิประเทศเกาหลีที่สวยงาม อยากจะไปสัมผัสกับวัฒนธรรมต่างๆ ของประเทศเกาหลี และอยากไปเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของประเทศเกาหลี
และแล้วฉันก็ไม่ต้องฝันหวานอีกต่อไป เพราะว่าในที่สุดฉันก็ได้มีโอกาสเดินทางมาเที่ยวเกาหลีกับทางองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (อสท. เกาหลี) ซึ่งเขาได้จัดคณะทัวร์มาเยือนเกาหลีกัน จากสนามบินสุวรณภูมิ ฉันนั่งบ้างหลับบ้างอยู่บนเครื่องบินนานกว่า 5 ชั่วโมง ในที่สุดเครื่องบินก็ร่อนลงแตะพื้นแผ่นดินประเทศเกาหลีใต้ที่สนามบินนานาชาติอินชอน (INCHEON) ด้วยความปลอดภัย และพวกเราชาวคณะทั้งหมดก็ผ่านด่านตม.เกาหลีมาได้อย่างปลอดภัยกันทุกคนเช่นกัน จากนั้นทริปเที่ยวตะลุยแดนกิมจิของพวกเราก็เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ
โดยพวกเราทั้งคณะมีจุดมุ่งหมายที่จะออกเดินทางไปเที่ยวกันที่จังหวัดเคียงคิโด (Gyeonnggi-do) เป็นจังหวัดขนาดใหญ่จังหวัดหนึ่งของประเทศเกาหลี ซึ่งจังหวัดเคียงคิโดประกอบไปด้วยเมืองต่างๆ มากมาย ที่ล้วนแล้วแต่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีความน่าสนใจให้เดินทางไปตะลุยทัวร์กันไม่น้อยเลย
สำหรับเมืองแรกที่ฉันพร้อมชาวคณะทัวร์ได้เดินทางไปเยือนกันก็คือ เมืองซูวอน (Suwon) เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดเคียงคิโด ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งมรดกโลก เพราะว่าที่เมืองซูวอนแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่นและเป็นไฮไลท์ ที่ถ้าใครมาเที่ยวเกาหลีแล้วก็ไม่ควรพลาดที่จะมาเที่ยวชมกัน สถานที่เที่ยวแห่งนี้ก็คือ ป้อมฮวาซอง (Hwaseong Fortress) เป็นป้อมปราการขนาดใหญ่ ที่มีความสง่างามและงดงามเป็นอย่างมาก จนองค์การยูเนสโกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ. 1997
เมื่อฉันได้มาเห็นป้อมฮวาซองแห่งนี้ ด้วยตาของตัวเองฉันก็ต้องขอยอมรับจากใจจริงว่าป้อมแห่งนี้มีความยิ่งใหญ่และสวยงามจริงๆ และยิ่งได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับการสร้างป้อมแห่งนี้ฉันยิ่งทึ่งเข้าไปใหญ่ เพราะว่าป้อมฮวาซองที่ตั้งตะหง่านอยู่นี้มีอายุกว่า 200 ปีแล้ว ย้อนอดีตกลับไปป้อมแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชองโจ กษัตริย์องค์ที่ 22 แห่งราชวงศ์โชซอน พระองค์ทรงต้องการสร้างป้อมแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อต้องการย้ายหลุมศพของพระบิดา Sado Seja จากภูขาBeabongson มาที่ Hwaseong ในซูวอน และต้องการสร้างเมืองหลวงขึ้นมาใหม่ เพื่อเสริมความยิ่งใหญ่ของความเป็นกษัตริย์
ป้อมฮวาซองนี้เริ่มต้นสร้างในปีค.ศ.1794 และมาเสร็จในปีค.ศ.1796 ซึ่งในการในการสร้างป้อมแห่งนี้ได้ใช้วิทยาการการก่อสร้างระหว่างวิธีของชาวตะวันตก และ วิธีของชาวตะวันออกผสมผสานเข้าด้วยกัน คือมีการใช้ทั้งหิน ปูนและก้อนอิฐ มาสร้างร่วมกันเป็นส่วนประกอบของป้อมและกำแพง และได้มีการใช้ปั้นจั่นเป็นครั้งแรกในการก่อสร้าง ซึ่งถือว่าทันสมัยสุดๆ ในยุคนั้น ทำให้โครงสร้างของป้อมนั้นมีความมั่นคงและแข็งแรงเป็นอย่างมาก
ตัวป้อมฮวาซองนี้ถูกสร้างทอดตัวยาวไปตามแนวไหล่เขาและที่ราบ โอบล้อมเมืองซูวอนไว้เป็นรูปวงไข่ขนาดใหญ่ หรือบ้างก็ว่าดูเหมือนรูปดอกไม้ โดยมีความยาวถึง 5.5 กิโลเมตร ป้อมฮวาซองนี้จะมีป้อมต่างๆ ตั้งเรียงรายอยู่ตามแนวกำแพงอยู่กว่า 50 ป้อม แต่ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 48 ป้อม เพราะบางส่วนถูกทำลายไปเมื่อสมัยญี่ปุ่นเข้ามาครอบครอง และสมัยเกิดสงครามเกาหลี
การที่จะเดินเที่ยวป้อมฮวาซองจนทั่วนั้นอาจจะต้องใช้เวลาเดินกินเวลาและแรงกายหลายชั่วโมงอยู่ ฉะนั้นฉันเลยขอแค่เดินชมตามแนวกำแพงขึ้นไปยังป้อมใกล้ๆ หลังจากนั้นก็เลือกที่จะใช้บริการรถไฟหัวมังกรสีแดงๆ ที่มีไว้ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งชมความงามของป้อมฮวาซองโดยรอบแบบสบายๆ กันดีกว่า รถไฟพาพวกเราวิ่งไปตามทางแนวป้อมปราการต่างๆ ที่ตั้งเรียงรายอยู่ เพื่อที่จะได้ชื่นชมกับป้อมปราการแต่ละป้อมที่มีความยิ่งใหญ่ และดูงดงามแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
หลังนั่งรถไฟชมป้อมฮวาซองกันจนอิ่มใจแล้ว ฉันและชาวคณะได้ไปประลองฝีมือการยิงธนูกันด้วย เพราะว่าที่ด้านหน้าป้อมฮวาซองนั้น มีสนามยิงธนูให้นักท่องเที่ยวได้ลองยิงธนูประลองความแม่นยำกันด้วย ซึ่งการยิงธนูนี้ถือว่าเป็นกีฬาโบราณที่ชาวเกาหลีเขาได้ทำการอนุรักษ์ไว้ และเขาก็คงจะอยากให้นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ได้สัมผัสกับการยิงธนูที่ว่านี้จะเป็นอย่างไร ซึ่งเท่าที่ฉันได้ลองยิงธนูแบบมือสมัครเล่นต้องบอกเลยว่า การยิงธนูนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เพราะคนยิงต้องมีพลังกำลังที่ดี และมีสมาธิที่ดี ที่จะปล่อยลูกธนูออกไปให้ถูกเป้าหมาย
หลังจากที่ฉันและชาวคณะต่างสนุกสนานกับการยิงธนูกันแบบเข้าเป้าบ้าง ไม่เข้าเป้าบ้างกันพักใหญ่ ก็ได้เวลาที่พวกเราต้องอำลาสนามยิงธนูกันแล้ว เพราะว่าใกล้ๆ กับป้อมฮวาซองแห่งนี้ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจให้ไปเที่ยวชมกันอีก สถานที่แห่งนั้นก็คือพระราชวังฮวาซอง แฮงกุง (Hwaseong Haenggung) ที่กษัตริย์ชองโจทรงสร้างขึ้น
พวกเราเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพระราชวังที่ด้านหน้ามีประตูวังบานใหญ่ดูสะดุดตาให้รู้ว่าที่นี่แหละคือพระราชวัง แต่ว่าก่อนที่พวกเราจะได้เข้าไปเที่ยวชมวังกัน ด้านหน้าตรงประตูวังนั้นได้มีการแสดงของชาวเกาหลีที่มาแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน พวกเราจึงถือโอกาสนี้นั่งพักเหนื่อยและชมการแสดงกันก่อน สำหรับการแสดงที่ได้ชมนั้นเป็นการแสดงโชว์การใช้อาวุธต่างๆ ของคนเกาหลีสมัยโบราณ นักแสดงจะแต่งกายแบบนักรบเกาหลีโบราณ ดูเข้มแข็งเอาการ และก็ออกมาวาดลวดลายการใช้อาวุธในการต่อสู้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ดาบ ใช้หอก การยิงธนู รวมถึงยังมีการแสดงท่าทางการต่อสู้ของชาวเกาหลี เตะต่อยต่อสู้กันแบบดูแล้วช่างแสดงได้สมจริงสมจัง จนเรียกเสียงปรบมือจากเหล่านักท่องเที่ยวได้ไม่น้อย
ครั้นเมื่อได้ดูการแสดงจบจน ประตูวังก็พร้อมเปิดให้พวกเราได้เดินเข้าไปชมความยิ่งใหญ่ของพระราชวังกันเสียที พระราชวังแห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวางพอสมควร และมากมายไปด้วยอาคารต่างๆ ที่ดูงดงามตามแบบสถาปัตยกรรมของเกาหลี ภายในพระราชวังมีการจัดแสดงให้เห็นถึงห้องหับต่างๆ ที่อยู่ในวัง ไม่ว่าจะเป็นห้องที่ประทับของกษัตริย์ ซึ่งมีการจำลองงานฉลองวันเกิดพระพันปีให้ได้ดูด้วย นอกจากนี้บริเวณรอบๆ ก็จะมีอาคารที่จัดแสดงให้เห็นถึงห้องพักต่างๆ ที่มีอยู่ในวัง ไม่ว่าจะเป็นห้องพักของขันที ห้องพักของพวกนางข้าหลวง และห้องหับต่างๆ อีกมายหลายห้อง
และที่พระราชวังแห่งนี้ยังมีอาคารอีกส่วนหนึ่งที่เป็นจุดเด่นซึ่งนักท่องเที่ยวให้ความสนใจเป็นอย่างมาก นั่นคือส่วนของอาคารที่ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครเรื่องแดจังกึม ซึ่งในอาคารส่วนนี้จะเห็นว่ามีการจัดแสดงชุดเครื่องแต่งกายต่างๆ ของแดจังกึมที่ใช้ในละคร มาตั้งให้ได้ชมกันแบบของจริงๆ ไม่เท่านั้นยังมีภาพของแดจังกึม และมินจุงโฮ ขนาดเท่าตัวจริงให้นักท่องเที่ยวได้ยืนอิงแอบถ่ายรูปกันแบบใกล้ชิดอีกด้วย
ฉันและชาวคณะทัวร์ได้ใช้เวลาเดินเที่ยวรอบๆ พระราชวังกันสักพักใหญ่ พร้อมกับได้ซึมซับความรู้สึก ความอิ่มเอมใจที่ได้มาเยือนเมืองซูวอน เมืองแห่งมรดกโลกที่มีป้อมฮวาซองอันยิ่งใหญ่ และยังได้ชมพระราชวังที่สวยงาม แต่ว่าเรื่องราวเที่ยวเกาหลีของฉันและชาวคณะทัวร์นั้นยังไม่จบลงแต่เพียงเท่านี้นะ เพราะว่าจากเมืองซูวอนแห่งนี้ พวกเราจะตะลุยทัวร์ไปเที่ยวเมืองอื่นๆ กันต่อ ซึ่งแต่ละเมืองที่จะไปนั้นมีแหล่งท่องเที่ยวอันตื่นตาตื่นใจรออยู่ ส่วนจะเป็นที่ไหนนั้นติดตามได้ในตอนต่อไป
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
เกาหลีใช้สกุลเงินที่เรียกว่า "วอน" หรือ "won" มีอัตราแลกเปลี่ยน 1,000 วอน ประมาณ 40 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น) เวลาที่เกาหลีเร็วกว่าเมืองไทยประมาณ 2 ชั่วโมง การเดินทางจากกรุงเทพฯไปเกาหลี มีหลายสายการบินให้เลือก อาทิ สายการบินเอเชียน่า แอร์ไลน์, โคเรียนแอร์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (อสท. เกาหลี) โทร.0-2354-2080-2 หรือเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ www.kto.or.th
ตั้งแต่มี"กระแสเกาหลีฟีเว่อร์" เกิดขึ้นในบ้านเราเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ต้องยอมรับเลยว่าชื่อเสียงของ "ประเทศเกาหลี(ใต้)" ดินแดนกิมจิ หรือดินแดนโสมแห่งนี้ นั้นมีมนต์เสน่ห์ดึงดูดให้ใครต่อใครหลายๆ อยากจะเดินทางไปเที่ยวที่เกาหลีกันเสียเหลือเกิน
สำหรับฉันถึงจะไม่ใช่สาวกเคป็อปที่คลั่งไคล้ความเป็นเกาหลีมากนัก แต่อย่างน้อยฉันก็ชอบดูละครเกาหลีที่มีมาฉายในบ้านเรา และจากการได้ดูละครเกาหลีนี่แหละ ก็ตัวจุดชนวนให้ฉันฝันที่อยากจะไปเที่ยวเกาหลีกับเขาบ้างสักครั้งในชีวิต อยากจะไปสัมผัสกับภูมิประเทศเกาหลีที่สวยงาม อยากจะไปสัมผัสกับวัฒนธรรมต่างๆ ของประเทศเกาหลี และอยากไปเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของประเทศเกาหลี
และแล้วฉันก็ไม่ต้องฝันหวานอีกต่อไป เพราะว่าในที่สุดฉันก็ได้มีโอกาสเดินทางมาเที่ยวเกาหลีกับทางองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (อสท. เกาหลี) ซึ่งเขาได้จัดคณะทัวร์มาเยือนเกาหลีกัน จากสนามบินสุวรณภูมิ ฉันนั่งบ้างหลับบ้างอยู่บนเครื่องบินนานกว่า 5 ชั่วโมง ในที่สุดเครื่องบินก็ร่อนลงแตะพื้นแผ่นดินประเทศเกาหลีใต้ที่สนามบินนานาชาติอินชอน (INCHEON) ด้วยความปลอดภัย และพวกเราชาวคณะทั้งหมดก็ผ่านด่านตม.เกาหลีมาได้อย่างปลอดภัยกันทุกคนเช่นกัน จากนั้นทริปเที่ยวตะลุยแดนกิมจิของพวกเราก็เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ
โดยพวกเราทั้งคณะมีจุดมุ่งหมายที่จะออกเดินทางไปเที่ยวกันที่จังหวัดเคียงคิโด (Gyeonnggi-do) เป็นจังหวัดขนาดใหญ่จังหวัดหนึ่งของประเทศเกาหลี ซึ่งจังหวัดเคียงคิโดประกอบไปด้วยเมืองต่างๆ มากมาย ที่ล้วนแล้วแต่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีความน่าสนใจให้เดินทางไปตะลุยทัวร์กันไม่น้อยเลย
สำหรับเมืองแรกที่ฉันพร้อมชาวคณะทัวร์ได้เดินทางไปเยือนกันก็คือ เมืองซูวอน (Suwon) เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดเคียงคิโด ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งมรดกโลก เพราะว่าที่เมืองซูวอนแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่นและเป็นไฮไลท์ ที่ถ้าใครมาเที่ยวเกาหลีแล้วก็ไม่ควรพลาดที่จะมาเที่ยวชมกัน สถานที่เที่ยวแห่งนี้ก็คือ ป้อมฮวาซอง (Hwaseong Fortress) เป็นป้อมปราการขนาดใหญ่ ที่มีความสง่างามและงดงามเป็นอย่างมาก จนองค์การยูเนสโกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ. 1997
เมื่อฉันได้มาเห็นป้อมฮวาซองแห่งนี้ ด้วยตาของตัวเองฉันก็ต้องขอยอมรับจากใจจริงว่าป้อมแห่งนี้มีความยิ่งใหญ่และสวยงามจริงๆ และยิ่งได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับการสร้างป้อมแห่งนี้ฉันยิ่งทึ่งเข้าไปใหญ่ เพราะว่าป้อมฮวาซองที่ตั้งตะหง่านอยู่นี้มีอายุกว่า 200 ปีแล้ว ย้อนอดีตกลับไปป้อมแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชองโจ กษัตริย์องค์ที่ 22 แห่งราชวงศ์โชซอน พระองค์ทรงต้องการสร้างป้อมแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อต้องการย้ายหลุมศพของพระบิดา Sado Seja จากภูขาBeabongson มาที่ Hwaseong ในซูวอน และต้องการสร้างเมืองหลวงขึ้นมาใหม่ เพื่อเสริมความยิ่งใหญ่ของความเป็นกษัตริย์
ป้อมฮวาซองนี้เริ่มต้นสร้างในปีค.ศ.1794 และมาเสร็จในปีค.ศ.1796 ซึ่งในการในการสร้างป้อมแห่งนี้ได้ใช้วิทยาการการก่อสร้างระหว่างวิธีของชาวตะวันตก และ วิธีของชาวตะวันออกผสมผสานเข้าด้วยกัน คือมีการใช้ทั้งหิน ปูนและก้อนอิฐ มาสร้างร่วมกันเป็นส่วนประกอบของป้อมและกำแพง และได้มีการใช้ปั้นจั่นเป็นครั้งแรกในการก่อสร้าง ซึ่งถือว่าทันสมัยสุดๆ ในยุคนั้น ทำให้โครงสร้างของป้อมนั้นมีความมั่นคงและแข็งแรงเป็นอย่างมาก
ตัวป้อมฮวาซองนี้ถูกสร้างทอดตัวยาวไปตามแนวไหล่เขาและที่ราบ โอบล้อมเมืองซูวอนไว้เป็นรูปวงไข่ขนาดใหญ่ หรือบ้างก็ว่าดูเหมือนรูปดอกไม้ โดยมีความยาวถึง 5.5 กิโลเมตร ป้อมฮวาซองนี้จะมีป้อมต่างๆ ตั้งเรียงรายอยู่ตามแนวกำแพงอยู่กว่า 50 ป้อม แต่ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 48 ป้อม เพราะบางส่วนถูกทำลายไปเมื่อสมัยญี่ปุ่นเข้ามาครอบครอง และสมัยเกิดสงครามเกาหลี
การที่จะเดินเที่ยวป้อมฮวาซองจนทั่วนั้นอาจจะต้องใช้เวลาเดินกินเวลาและแรงกายหลายชั่วโมงอยู่ ฉะนั้นฉันเลยขอแค่เดินชมตามแนวกำแพงขึ้นไปยังป้อมใกล้ๆ หลังจากนั้นก็เลือกที่จะใช้บริการรถไฟหัวมังกรสีแดงๆ ที่มีไว้ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งชมความงามของป้อมฮวาซองโดยรอบแบบสบายๆ กันดีกว่า รถไฟพาพวกเราวิ่งไปตามทางแนวป้อมปราการต่างๆ ที่ตั้งเรียงรายอยู่ เพื่อที่จะได้ชื่นชมกับป้อมปราการแต่ละป้อมที่มีความยิ่งใหญ่ และดูงดงามแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
หลังนั่งรถไฟชมป้อมฮวาซองกันจนอิ่มใจแล้ว ฉันและชาวคณะได้ไปประลองฝีมือการยิงธนูกันด้วย เพราะว่าที่ด้านหน้าป้อมฮวาซองนั้น มีสนามยิงธนูให้นักท่องเที่ยวได้ลองยิงธนูประลองความแม่นยำกันด้วย ซึ่งการยิงธนูนี้ถือว่าเป็นกีฬาโบราณที่ชาวเกาหลีเขาได้ทำการอนุรักษ์ไว้ และเขาก็คงจะอยากให้นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ได้สัมผัสกับการยิงธนูที่ว่านี้จะเป็นอย่างไร ซึ่งเท่าที่ฉันได้ลองยิงธนูแบบมือสมัครเล่นต้องบอกเลยว่า การยิงธนูนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เพราะคนยิงต้องมีพลังกำลังที่ดี และมีสมาธิที่ดี ที่จะปล่อยลูกธนูออกไปให้ถูกเป้าหมาย
หลังจากที่ฉันและชาวคณะต่างสนุกสนานกับการยิงธนูกันแบบเข้าเป้าบ้าง ไม่เข้าเป้าบ้างกันพักใหญ่ ก็ได้เวลาที่พวกเราต้องอำลาสนามยิงธนูกันแล้ว เพราะว่าใกล้ๆ กับป้อมฮวาซองแห่งนี้ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจให้ไปเที่ยวชมกันอีก สถานที่แห่งนั้นก็คือพระราชวังฮวาซอง แฮงกุง (Hwaseong Haenggung) ที่กษัตริย์ชองโจทรงสร้างขึ้น
พวกเราเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพระราชวังที่ด้านหน้ามีประตูวังบานใหญ่ดูสะดุดตาให้รู้ว่าที่นี่แหละคือพระราชวัง แต่ว่าก่อนที่พวกเราจะได้เข้าไปเที่ยวชมวังกัน ด้านหน้าตรงประตูวังนั้นได้มีการแสดงของชาวเกาหลีที่มาแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน พวกเราจึงถือโอกาสนี้นั่งพักเหนื่อยและชมการแสดงกันก่อน สำหรับการแสดงที่ได้ชมนั้นเป็นการแสดงโชว์การใช้อาวุธต่างๆ ของคนเกาหลีสมัยโบราณ นักแสดงจะแต่งกายแบบนักรบเกาหลีโบราณ ดูเข้มแข็งเอาการ และก็ออกมาวาดลวดลายการใช้อาวุธในการต่อสู้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ดาบ ใช้หอก การยิงธนู รวมถึงยังมีการแสดงท่าทางการต่อสู้ของชาวเกาหลี เตะต่อยต่อสู้กันแบบดูแล้วช่างแสดงได้สมจริงสมจัง จนเรียกเสียงปรบมือจากเหล่านักท่องเที่ยวได้ไม่น้อย
ครั้นเมื่อได้ดูการแสดงจบจน ประตูวังก็พร้อมเปิดให้พวกเราได้เดินเข้าไปชมความยิ่งใหญ่ของพระราชวังกันเสียที พระราชวังแห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวางพอสมควร และมากมายไปด้วยอาคารต่างๆ ที่ดูงดงามตามแบบสถาปัตยกรรมของเกาหลี ภายในพระราชวังมีการจัดแสดงให้เห็นถึงห้องหับต่างๆ ที่อยู่ในวัง ไม่ว่าจะเป็นห้องที่ประทับของกษัตริย์ ซึ่งมีการจำลองงานฉลองวันเกิดพระพันปีให้ได้ดูด้วย นอกจากนี้บริเวณรอบๆ ก็จะมีอาคารที่จัดแสดงให้เห็นถึงห้องพักต่างๆ ที่มีอยู่ในวัง ไม่ว่าจะเป็นห้องพักของขันที ห้องพักของพวกนางข้าหลวง และห้องหับต่างๆ อีกมายหลายห้อง
และที่พระราชวังแห่งนี้ยังมีอาคารอีกส่วนหนึ่งที่เป็นจุดเด่นซึ่งนักท่องเที่ยวให้ความสนใจเป็นอย่างมาก นั่นคือส่วนของอาคารที่ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครเรื่องแดจังกึม ซึ่งในอาคารส่วนนี้จะเห็นว่ามีการจัดแสดงชุดเครื่องแต่งกายต่างๆ ของแดจังกึมที่ใช้ในละคร มาตั้งให้ได้ชมกันแบบของจริงๆ ไม่เท่านั้นยังมีภาพของแดจังกึม และมินจุงโฮ ขนาดเท่าตัวจริงให้นักท่องเที่ยวได้ยืนอิงแอบถ่ายรูปกันแบบใกล้ชิดอีกด้วย
ฉันและชาวคณะทัวร์ได้ใช้เวลาเดินเที่ยวรอบๆ พระราชวังกันสักพักใหญ่ พร้อมกับได้ซึมซับความรู้สึก ความอิ่มเอมใจที่ได้มาเยือนเมืองซูวอน เมืองแห่งมรดกโลกที่มีป้อมฮวาซองอันยิ่งใหญ่ และยังได้ชมพระราชวังที่สวยงาม แต่ว่าเรื่องราวเที่ยวเกาหลีของฉันและชาวคณะทัวร์นั้นยังไม่จบลงแต่เพียงเท่านี้นะ เพราะว่าจากเมืองซูวอนแห่งนี้ พวกเราจะตะลุยทัวร์ไปเที่ยวเมืองอื่นๆ กันต่อ ซึ่งแต่ละเมืองที่จะไปนั้นมีแหล่งท่องเที่ยวอันตื่นตาตื่นใจรออยู่ ส่วนจะเป็นที่ไหนนั้นติดตามได้ในตอนต่อไป
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
เกาหลีใช้สกุลเงินที่เรียกว่า "วอน" หรือ "won" มีอัตราแลกเปลี่ยน 1,000 วอน ประมาณ 40 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น) เวลาที่เกาหลีเร็วกว่าเมืองไทยประมาณ 2 ชั่วโมง การเดินทางจากกรุงเทพฯไปเกาหลี มีหลายสายการบินให้เลือก อาทิ สายการบินเอเชียน่า แอร์ไลน์, โคเรียนแอร์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (อสท. เกาหลี) โทร.0-2354-2080-2 หรือเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ www.kto.or.th