โดย : เหล็งฮู้ชง
“มาเลเซียที่นี่เอเชีย” (Malaysia Truly Asia)
ผมจำโฆษณาชิ้นนี้ที่มิเชล โหยว ดาราชื่อดังเป็นพรีเซ็นเตอร์เชิญชวนให้คนไปเที่ยวมาเลเซียได้ดี
ดูเหมือนว่าวันนี้ทางมาเลเซียก็ยังคงใช้สโลแกนนี้โปรโมตการท่องเที่ยวของประเทศเขาอยู่ ซึ่งการจะสัมผัสกับสีสันอันหลากหลายแห่งมาเลเซียนั้น เมืองหลวงอย่างกรุง“กัวลาลัมเปอร์” ถือเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆที่ทางการท่องเที่ยวมาเลเซียประจำประเทศไทยเชิญชวนให้คนไทยให้ไปสัมผัส
กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) หรือที่นิยมเรียกสั้นๆว่า “KL” เติบโตมาจากหมู่บ้านหลังคามุงจาก ก่อนพัฒนาเป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในปลาย ศตวรรษที่ 18 ที่มีการค้นพบแร่ดีบุกในแม่น้ำ Klang และ Gombak จากนั้นกัวลาลัมเปอร์ก็เติบโตอย่างต่อเนื่องจนได้รับการสถาปนาเป็นเมืองหลวงในปีค.ศ.1972 และเป็นเขตปกครองพิเศษในปี ค.ศ. 1974
สำหรับใครที่ไปกัวลาลัมเปอร์ช่วงนี้ ถ้าเป็นผู้พิสมัยการช้อปปิ้งแล้วคงจะถูกใจเป็นพิเศษ เพราะช่วงนี้ KL เขากำลังจัดงาน“มาเลเซีย เมก้า เซล คาร์นิวัล 2008” ในย่านช้อปปิ้งหลักๆของกัวลาลัมเปอร์ที่นำโดยย่านถนนบูกิต บินตัง(Bukit Bintang) ถนนสีทองของกัวลาลัมเปอร์ แหล่งรวมห้างสรรพสินค้าและร้านรวงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นห้างเก่าแก่อย่าง Sungei Wang Plaza หรือห้างใหม่เอี่ยมอ่องอรทัยอย่าง Pavilion KL และห้างที่น่าสนใจอื่นๆ อาทิ Lot 10,Low Yat Plasa,Berjaya Time Square เป็นต้น
โดยห้างชื่อดังเหล่านี้จะพร้อมใจลดกระหน่ำดัมพ์ราคาสินค้ากันอย่างมากมาย 10-70 % ทั้ง สินค้าแบรนด์เนมชื่อดัง เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า อุปกรณ์ไฮเทค เครื่องใช้ไฟฟ้า ของที่ระลึก เครื่องประดับ และอื่นๆอีกมากมาย ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 1 ก.ย. 51
และนอกจากย่านห้างสรรพสินค้าแล้ว ในกัวลาลัมเปอร์ยังมี ตลาดกลาง(Central Market)ที่แม้ไม่ได้ร่วมลดราคาในงานเมก้า เซล แต่ว่าที่นี่ถือเป็นหนึ่งในแหล่งช้อปปิ้งสำคัญแห่งกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งใครที่ไปเยือนที่ตลาดกลางจะเพลิดเพลินไปด้วยสินค้าของที่ระลึก สินค้าพื้นเมือง งานหัตถกรรม งานศิลปะ เครื่องแก้ว เครื่องดีบุก เซรามิก เสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องหนัง และสินค้าอีกหลากหลายที่แต่ละร้านต่างก็มีสไตล์และเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป
ในขณะที่ไม่ไกลจากตลาดกลางเท่าไหร่เป็นย่านไชน่าทาวน์ที่นอกจะได้ชมสีสันแบบจีนๆแล้ว ที่นี่ยังเป็นแหล่งรวมสินค้าราคาประหยัดที่แน่นอนว่าคุณภาพก็ย่อมลดน้อยถอยลงไปตามความเหมาะสม เพราะโลกนี้ของดีราคาถูกหาได้น้อยมาก
สำหรับผมแม้เป็นคนชอบชม ไม่ชอบช้อป แต่เมื่อได้มาเห็นบรรยากาศสีสันการช้อปปิ้งที่นี่ก็อดตื่นตาไม่ได้ ซึ่งยังไงก็ขอเอาใจช่วยให้คนชอบช้อปได้สิ่งของไปตามประสงค์ ส่วนผมความประสงค์ในทริปนี้นั้นอยู่ที่การเที่ยวชมไฮไลท์ในกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งจุดแรกเราไปเปิดโลกเรียนรู้ความเป็นมาเลเซียกันที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมสวนทะเลสาบของกัวลาลัมเปอร์
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ดูโอ่อ่าอลังการด้วยสถาปัตยกรรมแบบมาเลย์ดั้งเดิมหรือสถาปัตยกรรมแบบมีนังกะเบาอันมีเอกลักษณ์ ด้านนอกอาคารจำลองแบบพระราชวังมาเลย์โบราณมาให้ชม พร้อมการจัดแสดงเกี่ยวกับยานพาหนะตั้งแต่อดีตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น เกวียน รถลาก รถสามล้อ มาจนถึงรถยนต์ยี่ห้อโปรตอนที่ชาวมาเลย์ผลิตใช้เองในประเทศ
ส่วนภายในเป็นสถานที่จัดแสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ความเป็นมาของมาเลเซีย การแสดงเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณี โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ หัตถกรรม เงินตรา อาวุธ ฯลฯ ซึ่งถือเป็นการเปิดโลกมาเลเซียในฉบับย่อและกะทัดรัดได้ดีนักแล โดยใครที่ชื่นชอบเที่ยวพิพิธภัณฑ์ ในกัวลาลัมเปอร์ ยังมีพิพิธภัณฑ์น่าสนใจให้เที่ยวชมกันอีกหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น พิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชีย พิพิธภัณฑ์ศิลปะอิสลาม พิพิธภัณฑ์ทหาร พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์
เมื่อได้รับรู้เรื่องราวความเป็นมาเลย์ผ่านพิพิธภัณฑ์แห่งชาติแล้ว ผมว่าสีสันแห่งความเป็นมุสลิมแห่งมาเลเซียก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจ ซึ่งในกัวลาลัมเปอร์มีมัสยิดแห่งชาติเป็นไฮไลท์ ที่อยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟ เป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ผสมกับสถาปัตยกรรมของอิสลาม ดูโดดเด่นด้วยลวดลายและการประดับตกแต่ง โดยมีทรงร่มริ้วแฉกและหอคอยสูงที่ถึง 245 เมตรเป็นจุดเด่นชวนมอง ชวนเรียกนักท่องเที่ยวให้มาถ่ายรูปยังที่นี่
อีกจุดหนึ่งที่ไกด์มักพาคณะทัวร์ไปแว่บถ่ายรูปก็คือที่ พระราชวังแห่งชาติ อันเป็นที่พระทับของพระราชาธิบดี ที่เปิดโอกาสให้ชมเฉพาะภายนอก ซึ่งแม้จะไม่ได้เห็นอะไรมาก แต่การที่ดูเหมือนนักท่องเที่ยวสาวๆหลายคนจะชอบเป็นพิเศษ เพราะได้ถ่ายรูปคู่กับทหารม้าและทหารยืนรักษาการณ์ที่แต่งกายมีเอกลักษณ์ไม่น้อยเลย
เอาล่ะหลังชมสีสันมาเลย์แบบประเพณีกันแล้ว ทีนี้ผมขอเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการไปสัมผัสกับความทันสมัยไฮไลท์อันโดดเด่นที่เป็นดังสัญลักษณ์สำคัญแห่งกัวลาลัมเปอร์และมาเลเซียก็คือ ตึกแฝดเปโตรนาส อดีตตึกสูงที่สุดในโลกจำนวน 88 ชั้น ที่มีความสูง 452 เมตร แต่ปัจจุบันหล่นมาอยู่อันดับที่ 3 เพราะถูกแซงโดยอาคารไทเป 101 ของไต้หวัน(อันดับ 2 ) ที่มีความสูง 508 เมตร และ อาคารดูไบ ทาวเวอร์ ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(อันดับ 1 ) ที่มีความสูงถึง 512.1 เมตร
อย่างไรก็ตามเปโตรนาสในวันนี้ก็ยังได้ชื่อว่าตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลกอยู่ดี เพราะตึก 2 แห่งที่สูงแซงหน้านั้นเป็นต่างก็เป็นอาคารเดี่ยวทั้ง 2 ตึก
เปโตรนาส ถือเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของชาวมาเลเซียน ออกแบบโดยเซซาร์ เปลลี ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากหลักอิสลาม 5 ประการจนเกิดเป็นผลงานสถาปัตยกรรมล้ำยุคอันโดดเด่นประจำเมือง ที่ว่ากันว่าใครไปกัวลาลัมเปอร์แล้วไม่ได้ไปเห็นเปโตรนาสในมุมใดมุมหนึ่งก็เหมือนกับว่ายังมาไม่ถึงกัวลาลัมเปอร์
สำหรับผมกับเปโตรนาสในทริปนี้ถือว่าโชคดีถึง 2 เด้งด้วยกัน
เด้งแรกทริปนี้ผมพักอยู่ใกล้ๆกับเปโตรนาสแค่มองออกมาจากหน้าต่างโรงแรมก็เห็นเปโตรนาสตั้งตระหง่านแล้ว
เมื่ออยู่ใกล้ๆมีหรือจะพลาดกับการชมเปโตนาสทั้งในยามกลางวันและกลางคืน ซึ่งทั้ง 2 ช่วงเวลาต่างก็มีความสวยงามแตกต่างกันออกไป ยามค่ำคืนแสงไฟแห่งเปโตรนาสจะสว่างสุกใสเป็นปละกายสูงแทงฟ้า ขณะที่ยามกลางวันที่จุดชมวิวเปโตรนาส(ริมไฟแดง) ก็จะมองเห็นตึกแฝดตั้งตระหง่านโดดเด่นกลางเมืองแบบเต็มๆ นับเป็นไฮไลท์ของการถ่ายรูปประจำเมืองที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
เด้งที่สองในทริปนี้ผมได้มีโอกาสขึ้นเปโตรนาสไปชมวิวบน Skybridge หรือสะพานลอยฟ้า ที่สร้างเชื่อมระหว่างตึกแฝดทั้งคู่ในตำแหน่งชั้นที่ 41 และ 42 ซึ่งการจะขึ้นไปบนสะพานลอยฟ้านั้นต้องใช้เวลาจองและแย่งชิงกันพอสมควรเนื่องจากทางตึกเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นชมฟรีในจำนวนจำกัด โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ แต่ต้องไปลงทะเบียนรอคิวแต่เช้าที่แม้จะใช้เวลารอนานพอดู และขึ้นได้เที่ยวละ 10-20 คน
ครั้นเมื่อคิวขึ้นสะพานลอยฟ้าของคณะเรามาถึง เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจตราอย่างเข้มงวดก่อนเดินเข้าลิฟต์ไฮสปีด 1 ชั้น ต่อ 1 วินาที งานนี้เมื่อขึ้นไปชั้น 41(ชั้นนักท่องเที่ยว) ก็ใช้เวลาเพียงแค่ 41 วินาที คณะเราก็มาถึงยังสะพานลอยฟ้า ที่เจ้าหน้าที่บอกว่าเวลาเดินชมวิว แค่ 10 นาทีเอง
งานนี้ผมไม่รีรอเดินชมวิวทิวทัศน์มุมสูงใน 2 ฟากฝั่งและซึมซับบรรยากาศบนนั้นอย่างเต็มที่ โดยไม่ลืมที่จะเดินเชื่อมระหว่างตึกทั้ง 2 บนสะพานลอยฟ้าที่มีความยาว 58 เมตร สูง 170 เมตร ที่แม้การขึ้นมาเดินบนสะพานลอยฟ้าจะมีเวลาไม่นานนักแต่ว่าก็คุ้มค่าไม่น้อยเลย แถมยังทำให้เราได้เห็นว่าบ้านเมืองของเขาพัฒนาไปถึงไหนแล้วด้วย ซึ่งเพื่อนผู้ร่วมทริปคนหนึ่งบ่นขึ้นมาลอยๆหลังเห็นสภาพบ้านเมืองในกัวลาลัมเปอร์ว่า
"มาเลย์เปิดประเทศและพัฒนาประเทศหลังไทยหลายปี แต่ตอนนี้เขากลับแซงเราไปไกลแล้ว น่าแปลกที่ทำไมเราถึงไม่ไปไหนสักที??? "
ครับ เรื่องนี้ผมฟังเพื่อนคนบ่นแล้ว เท่าที่ผมนึกได้เกี่ยวกับเรื่องนี้มีอยู่ 2 คำตอบด้วยกันนั่นก็คือ “นักการเมือง” และ “คอร์รัปชั่น” ที่หากสามารถคลี่คลายปัญหา 2 ข้อนี้ได้ รับรองว่าเมืองไทยไปโลดกว่านี้ ชัวร์!?!
*****************************************
กัวลาลัมเปอร์ เป็นเมืองหลวงและศูนย์รวมความเจริญในหลายๆด้านของมาเลเซีย จากเมืองไทยมีรถทัวร์จากหาดใหญ่วิ่งสู่กัวลาลัมเปอร์ และมีสายการบินหลายสายจากเมืองไทยบินสู่มาเลเซีย อาทิ การบินไทย มาเลเซียแอร์ไลน์ แอร์เอเชีย เป็นต้น มาเลเซียใช้เงินริงกิตในอัตราแลกเปลี่ยน 1 ริงกิต ประมาณ 10 บาท มีเวลาเร็วกว่าไทย 1 ชม. ซึ่งผู้สนใจท่องเที่ยวมาเลเซียสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวมาเลเซียประจำประเทศไทย โทร. 0-2631-1994-6
“มาเลเซียที่นี่เอเชีย” (Malaysia Truly Asia)
ผมจำโฆษณาชิ้นนี้ที่มิเชล โหยว ดาราชื่อดังเป็นพรีเซ็นเตอร์เชิญชวนให้คนไปเที่ยวมาเลเซียได้ดี
ดูเหมือนว่าวันนี้ทางมาเลเซียก็ยังคงใช้สโลแกนนี้โปรโมตการท่องเที่ยวของประเทศเขาอยู่ ซึ่งการจะสัมผัสกับสีสันอันหลากหลายแห่งมาเลเซียนั้น เมืองหลวงอย่างกรุง“กัวลาลัมเปอร์” ถือเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆที่ทางการท่องเที่ยวมาเลเซียประจำประเทศไทยเชิญชวนให้คนไทยให้ไปสัมผัส
กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) หรือที่นิยมเรียกสั้นๆว่า “KL” เติบโตมาจากหมู่บ้านหลังคามุงจาก ก่อนพัฒนาเป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในปลาย ศตวรรษที่ 18 ที่มีการค้นพบแร่ดีบุกในแม่น้ำ Klang และ Gombak จากนั้นกัวลาลัมเปอร์ก็เติบโตอย่างต่อเนื่องจนได้รับการสถาปนาเป็นเมืองหลวงในปีค.ศ.1972 และเป็นเขตปกครองพิเศษในปี ค.ศ. 1974
สำหรับใครที่ไปกัวลาลัมเปอร์ช่วงนี้ ถ้าเป็นผู้พิสมัยการช้อปปิ้งแล้วคงจะถูกใจเป็นพิเศษ เพราะช่วงนี้ KL เขากำลังจัดงาน“มาเลเซีย เมก้า เซล คาร์นิวัล 2008” ในย่านช้อปปิ้งหลักๆของกัวลาลัมเปอร์ที่นำโดยย่านถนนบูกิต บินตัง(Bukit Bintang) ถนนสีทองของกัวลาลัมเปอร์ แหล่งรวมห้างสรรพสินค้าและร้านรวงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นห้างเก่าแก่อย่าง Sungei Wang Plaza หรือห้างใหม่เอี่ยมอ่องอรทัยอย่าง Pavilion KL และห้างที่น่าสนใจอื่นๆ อาทิ Lot 10,Low Yat Plasa,Berjaya Time Square เป็นต้น
โดยห้างชื่อดังเหล่านี้จะพร้อมใจลดกระหน่ำดัมพ์ราคาสินค้ากันอย่างมากมาย 10-70 % ทั้ง สินค้าแบรนด์เนมชื่อดัง เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า อุปกรณ์ไฮเทค เครื่องใช้ไฟฟ้า ของที่ระลึก เครื่องประดับ และอื่นๆอีกมากมาย ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 1 ก.ย. 51
และนอกจากย่านห้างสรรพสินค้าแล้ว ในกัวลาลัมเปอร์ยังมี ตลาดกลาง(Central Market)ที่แม้ไม่ได้ร่วมลดราคาในงานเมก้า เซล แต่ว่าที่นี่ถือเป็นหนึ่งในแหล่งช้อปปิ้งสำคัญแห่งกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งใครที่ไปเยือนที่ตลาดกลางจะเพลิดเพลินไปด้วยสินค้าของที่ระลึก สินค้าพื้นเมือง งานหัตถกรรม งานศิลปะ เครื่องแก้ว เครื่องดีบุก เซรามิก เสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องหนัง และสินค้าอีกหลากหลายที่แต่ละร้านต่างก็มีสไตล์และเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป
ในขณะที่ไม่ไกลจากตลาดกลางเท่าไหร่เป็นย่านไชน่าทาวน์ที่นอกจะได้ชมสีสันแบบจีนๆแล้ว ที่นี่ยังเป็นแหล่งรวมสินค้าราคาประหยัดที่แน่นอนว่าคุณภาพก็ย่อมลดน้อยถอยลงไปตามความเหมาะสม เพราะโลกนี้ของดีราคาถูกหาได้น้อยมาก
สำหรับผมแม้เป็นคนชอบชม ไม่ชอบช้อป แต่เมื่อได้มาเห็นบรรยากาศสีสันการช้อปปิ้งที่นี่ก็อดตื่นตาไม่ได้ ซึ่งยังไงก็ขอเอาใจช่วยให้คนชอบช้อปได้สิ่งของไปตามประสงค์ ส่วนผมความประสงค์ในทริปนี้นั้นอยู่ที่การเที่ยวชมไฮไลท์ในกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งจุดแรกเราไปเปิดโลกเรียนรู้ความเป็นมาเลเซียกันที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมสวนทะเลสาบของกัวลาลัมเปอร์
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ดูโอ่อ่าอลังการด้วยสถาปัตยกรรมแบบมาเลย์ดั้งเดิมหรือสถาปัตยกรรมแบบมีนังกะเบาอันมีเอกลักษณ์ ด้านนอกอาคารจำลองแบบพระราชวังมาเลย์โบราณมาให้ชม พร้อมการจัดแสดงเกี่ยวกับยานพาหนะตั้งแต่อดีตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น เกวียน รถลาก รถสามล้อ มาจนถึงรถยนต์ยี่ห้อโปรตอนที่ชาวมาเลย์ผลิตใช้เองในประเทศ
ส่วนภายในเป็นสถานที่จัดแสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ความเป็นมาของมาเลเซีย การแสดงเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณี โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ หัตถกรรม เงินตรา อาวุธ ฯลฯ ซึ่งถือเป็นการเปิดโลกมาเลเซียในฉบับย่อและกะทัดรัดได้ดีนักแล โดยใครที่ชื่นชอบเที่ยวพิพิธภัณฑ์ ในกัวลาลัมเปอร์ ยังมีพิพิธภัณฑ์น่าสนใจให้เที่ยวชมกันอีกหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น พิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชีย พิพิธภัณฑ์ศิลปะอิสลาม พิพิธภัณฑ์ทหาร พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์
เมื่อได้รับรู้เรื่องราวความเป็นมาเลย์ผ่านพิพิธภัณฑ์แห่งชาติแล้ว ผมว่าสีสันแห่งความเป็นมุสลิมแห่งมาเลเซียก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจ ซึ่งในกัวลาลัมเปอร์มีมัสยิดแห่งชาติเป็นไฮไลท์ ที่อยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟ เป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ผสมกับสถาปัตยกรรมของอิสลาม ดูโดดเด่นด้วยลวดลายและการประดับตกแต่ง โดยมีทรงร่มริ้วแฉกและหอคอยสูงที่ถึง 245 เมตรเป็นจุดเด่นชวนมอง ชวนเรียกนักท่องเที่ยวให้มาถ่ายรูปยังที่นี่
อีกจุดหนึ่งที่ไกด์มักพาคณะทัวร์ไปแว่บถ่ายรูปก็คือที่ พระราชวังแห่งชาติ อันเป็นที่พระทับของพระราชาธิบดี ที่เปิดโอกาสให้ชมเฉพาะภายนอก ซึ่งแม้จะไม่ได้เห็นอะไรมาก แต่การที่ดูเหมือนนักท่องเที่ยวสาวๆหลายคนจะชอบเป็นพิเศษ เพราะได้ถ่ายรูปคู่กับทหารม้าและทหารยืนรักษาการณ์ที่แต่งกายมีเอกลักษณ์ไม่น้อยเลย
เอาล่ะหลังชมสีสันมาเลย์แบบประเพณีกันแล้ว ทีนี้ผมขอเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการไปสัมผัสกับความทันสมัยไฮไลท์อันโดดเด่นที่เป็นดังสัญลักษณ์สำคัญแห่งกัวลาลัมเปอร์และมาเลเซียก็คือ ตึกแฝดเปโตรนาส อดีตตึกสูงที่สุดในโลกจำนวน 88 ชั้น ที่มีความสูง 452 เมตร แต่ปัจจุบันหล่นมาอยู่อันดับที่ 3 เพราะถูกแซงโดยอาคารไทเป 101 ของไต้หวัน(อันดับ 2 ) ที่มีความสูง 508 เมตร และ อาคารดูไบ ทาวเวอร์ ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(อันดับ 1 ) ที่มีความสูงถึง 512.1 เมตร
อย่างไรก็ตามเปโตรนาสในวันนี้ก็ยังได้ชื่อว่าตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลกอยู่ดี เพราะตึก 2 แห่งที่สูงแซงหน้านั้นเป็นต่างก็เป็นอาคารเดี่ยวทั้ง 2 ตึก
เปโตรนาส ถือเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของชาวมาเลเซียน ออกแบบโดยเซซาร์ เปลลี ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากหลักอิสลาม 5 ประการจนเกิดเป็นผลงานสถาปัตยกรรมล้ำยุคอันโดดเด่นประจำเมือง ที่ว่ากันว่าใครไปกัวลาลัมเปอร์แล้วไม่ได้ไปเห็นเปโตรนาสในมุมใดมุมหนึ่งก็เหมือนกับว่ายังมาไม่ถึงกัวลาลัมเปอร์
สำหรับผมกับเปโตรนาสในทริปนี้ถือว่าโชคดีถึง 2 เด้งด้วยกัน
เด้งแรกทริปนี้ผมพักอยู่ใกล้ๆกับเปโตรนาสแค่มองออกมาจากหน้าต่างโรงแรมก็เห็นเปโตรนาสตั้งตระหง่านแล้ว
เมื่ออยู่ใกล้ๆมีหรือจะพลาดกับการชมเปโตนาสทั้งในยามกลางวันและกลางคืน ซึ่งทั้ง 2 ช่วงเวลาต่างก็มีความสวยงามแตกต่างกันออกไป ยามค่ำคืนแสงไฟแห่งเปโตรนาสจะสว่างสุกใสเป็นปละกายสูงแทงฟ้า ขณะที่ยามกลางวันที่จุดชมวิวเปโตรนาส(ริมไฟแดง) ก็จะมองเห็นตึกแฝดตั้งตระหง่านโดดเด่นกลางเมืองแบบเต็มๆ นับเป็นไฮไลท์ของการถ่ายรูปประจำเมืองที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
เด้งที่สองในทริปนี้ผมได้มีโอกาสขึ้นเปโตรนาสไปชมวิวบน Skybridge หรือสะพานลอยฟ้า ที่สร้างเชื่อมระหว่างตึกแฝดทั้งคู่ในตำแหน่งชั้นที่ 41 และ 42 ซึ่งการจะขึ้นไปบนสะพานลอยฟ้านั้นต้องใช้เวลาจองและแย่งชิงกันพอสมควรเนื่องจากทางตึกเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นชมฟรีในจำนวนจำกัด โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ แต่ต้องไปลงทะเบียนรอคิวแต่เช้าที่แม้จะใช้เวลารอนานพอดู และขึ้นได้เที่ยวละ 10-20 คน
ครั้นเมื่อคิวขึ้นสะพานลอยฟ้าของคณะเรามาถึง เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจตราอย่างเข้มงวดก่อนเดินเข้าลิฟต์ไฮสปีด 1 ชั้น ต่อ 1 วินาที งานนี้เมื่อขึ้นไปชั้น 41(ชั้นนักท่องเที่ยว) ก็ใช้เวลาเพียงแค่ 41 วินาที คณะเราก็มาถึงยังสะพานลอยฟ้า ที่เจ้าหน้าที่บอกว่าเวลาเดินชมวิว แค่ 10 นาทีเอง
งานนี้ผมไม่รีรอเดินชมวิวทิวทัศน์มุมสูงใน 2 ฟากฝั่งและซึมซับบรรยากาศบนนั้นอย่างเต็มที่ โดยไม่ลืมที่จะเดินเชื่อมระหว่างตึกทั้ง 2 บนสะพานลอยฟ้าที่มีความยาว 58 เมตร สูง 170 เมตร ที่แม้การขึ้นมาเดินบนสะพานลอยฟ้าจะมีเวลาไม่นานนักแต่ว่าก็คุ้มค่าไม่น้อยเลย แถมยังทำให้เราได้เห็นว่าบ้านเมืองของเขาพัฒนาไปถึงไหนแล้วด้วย ซึ่งเพื่อนผู้ร่วมทริปคนหนึ่งบ่นขึ้นมาลอยๆหลังเห็นสภาพบ้านเมืองในกัวลาลัมเปอร์ว่า
"มาเลย์เปิดประเทศและพัฒนาประเทศหลังไทยหลายปี แต่ตอนนี้เขากลับแซงเราไปไกลแล้ว น่าแปลกที่ทำไมเราถึงไม่ไปไหนสักที??? "
ครับ เรื่องนี้ผมฟังเพื่อนคนบ่นแล้ว เท่าที่ผมนึกได้เกี่ยวกับเรื่องนี้มีอยู่ 2 คำตอบด้วยกันนั่นก็คือ “นักการเมือง” และ “คอร์รัปชั่น” ที่หากสามารถคลี่คลายปัญหา 2 ข้อนี้ได้ รับรองว่าเมืองไทยไปโลดกว่านี้ ชัวร์!?!
*****************************************
กัวลาลัมเปอร์ เป็นเมืองหลวงและศูนย์รวมความเจริญในหลายๆด้านของมาเลเซีย จากเมืองไทยมีรถทัวร์จากหาดใหญ่วิ่งสู่กัวลาลัมเปอร์ และมีสายการบินหลายสายจากเมืองไทยบินสู่มาเลเซีย อาทิ การบินไทย มาเลเซียแอร์ไลน์ แอร์เอเชีย เป็นต้น มาเลเซียใช้เงินริงกิตในอัตราแลกเปลี่ยน 1 ริงกิต ประมาณ 10 บาท มีเวลาเร็วกว่าไทย 1 ชม. ซึ่งผู้สนใจท่องเที่ยวมาเลเซียสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวมาเลเซียประจำประเทศไทย โทร. 0-2631-1994-6