xs
xsm
sm
md
lg

ย้อนอดีตโตเกียว นครหลวงตะวันออก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย : เด็กเที่ยว

วิหารวัดอะซากุสะ ที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์คันนน
ตามที่สัญญาเอาไว้ในตอนที่แล้วว่าในตอนนี้ผมจะพาทุกท่านขึ้นรถไฟชินคันเซ็นไปยัง "โตเกียว" มหานครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

"โตเกียว" หรือ "นครหลวงตะวันออก" เมืองหลวงของญี่ปุ่นแห่งนี้ถือเป็นเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากเมื่อรวมเขตปริมณฑลเข้าไว้ด้วยแล้ว โตเกียวจะกลายเป็นมหานครที่มีประชากรอาศัยอยู่มากกว่า 35 ล้านคน ด้วยระบบการปกครองแบบพิเศษที่รวมการปกครองในรูปแบบจังหวัดและเมืองเข้าไว้ด้วยกัน
ถนนนากามิเสะที่เต็มไปด้วยร้านขายของและผู้คนจำนวนมาก ด้านหน้าคือซุ้มประตูโฮโซ
และจากนี้ไปก็ถึงเวลาที่ผมจะพาทุกท่านไปรู้จักโตเกียวกันแบบเจาะลึกเสียที รับรองเลยครับว่าทั้งกินซ่า ฮาราจูกุ ชินจูกุ ชิบุยะ ผมจะไม่พาทุกท่านไปเด็ดขาด เพราะสถานที่เหล่านั้นเป็นเพียงเสี้ยวเล็กๆ เสี้ยวหนึ่งของความเป็นโตเกียวเท่านั้น หากอยากจะรู้จักโตเกียวกันจริงๆ ล่ะก็ ผมคิดว่าเราน่าจะไปเริ่มต้นกันที่การทำความรู้จักกับความเป็นมากว่าจะมาถึงวันนี้ของโตเกียวกันก่อนดีกว่า ซึ่งก็คงไม่มีสถานที่ใดที่จะฉายภาพเหล่านั้นของนครหลวงแห่งนี้ได้ดีไปกว่าที่นี่ครับ "พิพิธภัณฑ์เอโดะ-โตเกียว"

รถยนต์ฟอร์ด โมเดล A พาหนะในโตเกียวในยุคที่ญี่ปุ่นยังไม่สามารถผลิตรถยนต์ได้เอง
พิพิธภัณฑ์เอโดะ-โตเกียว เป็น "พิพิธภัณฑ์เมือง" ที่แสดงให้เห็นถึงอดีตของโตเกียว ผ่านนิทรรศการถาวรซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่การแสดงให้เห็นถึงสภาพทางการเมือง วัฒนธรรม และวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนในเมืองที่มีอายุ 400 กว่าปีแห่งนี้ ตั้งแต่สมัยที่ยังใช้ชื่อว่าเมืองเอโดะ ผ่านสิ่งของที่มีคุณค่าอย่างภาพพิมพ์ของแท้กว่า 2,500 ชิ้น ม้วนเอกสาร กิโมโน แผนที่ รวมทั้งโมเดลขนาดเท่าจริงและขนาดย่อมลงมา ที่จำลองสถานที่สำคัญๆ และรูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้คนในยุคนั้นเอาไว้อย่างมากมาย

เมื่อซื้อบัตรเข้าชมเป็นที่เรียบร้อย เพื่อนไกด์ก็พาผมขึ้นลิฟต์ไปเริ่มต้นรู้จักกับอดีตของเมืองเอโดะ-โตเกียวกันทันที ณ ชั้นที่ 6 ของพิพิธภัณฑ์

ทันใดที่ประตูลิฟต์เปิดออก ผมก็ได้พบกับการเชื้อเชิญอันยิ่งใหญ่ของอดีตแห่งเมืองเอโดะเข้าอย่างจัง ด้วยภาพของสะพานนิฮอนบาชิ สะพานซึ่งผู้คนในอดีตใช้เดินทางข้ามเข้าสู่เมืองเอโดะ ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า

แม้จะรู้ว่าสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้าเป็นแต่เพียงสะพานจำลอง แต่ผมก็อดตื่นเต้นไม่ได้ที่จะได้ข้ามสะพานแห่งนี้เพื่อก้าวเข้าสู่อดีตของเมืองเอโดะ ซึ่งที่สุดแล้วไม่ว่าจะเป็นของจริงหรือสิ่งจำลอง สะพานแห่งนี้ก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวมันเองอย่างซื่อสัตย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
อาคารจำลองขนาดเท่าจริงของสำนักงานหนังสือพิมพ์โชย่า ในสมัยปฏิรูปเมจิ
เมื่อข้ามมาอยู่อีกฝั่งหนึ่งของสะพานนิฮอนบาชิ ผมก็ได้มายืนอยู่ในส่วนจัดแสดงแรกของพิพิธภัณฑ์ที่เรียกว่า Edo Zone ในส่วนนี้ทุกท่านจะได้ซึมซับกับบรรยากาศเก่าๆ และวิถีชีวิตในสมัยเอโดะที่ถูกจำลองเอาไว้อย่างครบครัน ผ่านทั้งของจริงที่ยังคงเก็บสะสมไว้ และแบบจำลองที่มีรายละเอียดเหมือนจริงอย่างมาก มากเสียจนน่าทึ่งในความพยายามแห่งการสร้างสรรค์ของผู้ที่ทำแบบจำลองเหล่านี้ขึ้นมา

ระหว่างเดินชมพิพิธภัณฑ์ เพื่อนไกด์ของผมก็ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมืองเอโดะนั้นถูกสร้างขึ้นโดย โชกุนโตกุกาวะ อิเอยะสึ ในปี พ.ศ.2146 หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็เข้าสู่ยุคของการปิดประเทศ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นมีความสงบ มีวัฒนธรรมรุ่งเรือง และมีเศรษฐกิจที่เจริญก้าวหน้า

จนเมื่อกองเรืออเมริกันเคลื่อนเข้ามา ญี่ปุ่นจึงได้ถูกกดดันให้เปิดประเทศ จนกระทั่งก้าวเข้าสู่การปฏิรูปสมัยเมจิ ทำให้เมืองเอโดะต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง จนกลายมาเป็นโตเกียว เมืองหลวงในยุคสมัยใหม่อันเป็นศูนย์กลางแห่งอุตสาหกรรม

เดินชมฉากต่างๆ ในอดีตของเมืองเอโดะมาได้สักพัก ผมก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งกับฉากของโรงละครคาบูกิขนาดเท่าจริง ที่ยิ่งใหญ่ สวยงาม และสมจริงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหุ่นจำลองขนาดเท่าคนจริงของตัวละครคาบูกินั้น เหมือนจริงเสียจนนักท่องเที่ยวหลายคนนึกว่าทางพิพิธภัณฑ์เอาคนจริงๆ มาตั้งแสดงไว้ให้ดูเสียอีก และนั่นก็ถือเป็นฉากสุดท้ายของ Edo Zone
โรงละครนากามุราสะจำลองขนาดเท่าจริง ใช้เป็นที่แสดงละครคาบูกิ
ส่วนจัดแสดงต่อมาเรียกว่า Tokyo Zone ซึ่งในส่วนนี้ทุกท่านจะได้รู้จักกับการกำเนิดของโตเกียวในฐานะเมืองหลวงของญี่ปุ่นยุคใหม่ ชีวิตชาวเมืองสมัยใหม่ หลังจากที่อิทธิพลของชาวยุโรปและอเมริกันได้ก้าวเข้ามาในสังคมญี่ปุ่น

อาคารสำคัญมากมายได้ถูกจำลองขึ้นในส่วนนี้ เพื่อนำมาจัดแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในยุคแห่งความรู้และเบื้องหลังของสังคมในยุคสมัยนั้น เช่น ตึกเก่าในย่านกินซ่าที่เป็นสำนักงานหนังสือพิมพ์โชยา หนังสือพิมพ์ชื่อดังในสมัยรัฐบาลเมจิ เป็นต้น

นอกจากนั้นนิทรรศการในส่วนนี้ก็ยังแสดงให้เห็นถึงผลของสภาพบ้านเมือง หลังจากเกิดแผ่นดินไหวและไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี พ.ศ.2466 หรือที่รู้จักกันในชื่อของ The Great Kanto Earthquake และอีก 21 ปีต่อมาซึ่งเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง และยุคแห่งการฟื้นฟูประเทศหลังสงคราม ซึ่งเป็นบทเรียนที่น่าเรียนรู้ โดยได้จำลองความยากลำบากของผู้คนและที่อยู่อาศัยในสมัยสงคราม และหลังสงครามมาให้ได้เห็นกันอย่างชัดเจน
ผู้คนต่างมากราบไหว้สักการะและขอพรจากพระโพธิสัตว์คันนน
เมื่อผมและเพื่อนไกด์ก้าวผ่านฉากสุดท้ายของ Tokyo Zone ออกมา ก็ได้เวลาปิดทำการของพิพิธภัณฑ์พอดี เสียดายอยู่เหมือนกันที่ไม่มีเวลาพอที่จะเดินดูพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อย่างละเอียดลออจนทั่ว เพราะหากจะทำเช่นนั้นแล้วล่ะก็ คงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 วันเต็มๆ เลยทีเดียว

แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ได้รับจากการเดินชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตลอดช่วงบ่าย ก็ทำให้ผมได้เห็นถึงความตั้งใจของคนญี่ปุ่น ที่อยากจะให้ผู้คนในชาติรวมถึงนักท่องเที่ยวที่มีโอกาสแวะเวียนเข้ามา ได้เห็นถึงความเป็นมาและคุณค่าของเมืองโตเกียว ที่กว่าจะกลายมาเป็นมหานครอันยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลกเฉกเช่นทุกวันนี้ ก็ต้องผ่านการตรากตรำในหน้าประวัติศาสตร์ที่มีทั้งรอยยิ้มและน้ำตามาอย่างโชกโชนไม่แพ้เมืองใดๆ ในโลกเช่นกัน หรือบางทีอาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
แบบจำลองย่อส่วนสภาพบ้านเมืองและวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยเอโดะ
หลังออกจากพิพิธภัณฑ์เอโดะ-โตเกียว ผมยังพอมีเวลาอีกสักพักใหญ่ๆ ก่อนจะถึงเวลาอาหารเย็น เพื่อนไกด์จึงแนะนำให้แวะไปไหว้พระที่ "วัดอะซากุสะ" หรือ "วัดเซ็นโซจิ" วัดเก่าแก่ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับพิพิธภัณฑ์ และเป็นที่ที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งเมื่อได้มาเยือนโตเกียว

ตามตำนานกล่าวว่าวัดอะซากุสะแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อของพระโพธิสัตว์คันนน ซึ่งถูกพบในแม่น้ำสุมิดะเมื่อปี พ.ศ.1171 โดยชาวประมงสองพี่น้องตระกูลฮิโนคุมะ จากนั้นหัวหน้าหมู่บ้านของทั้งสองซึ่งตระหนักถึงความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระโพธิสัตว์ จึงได้เปลี่ยนแปลงบ้านของตนในอะซากุสะให้กลายเป็นที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์ เพื่อให้คนในหมู่บ้านมากราบไหว้บูชา

ต่อมาในปี พ.ศ.1188 หลวงพ่อโชโกจึงได้สร้างวัดนี้ขึ้นเพื่อถวายพระโพธิสัตว์องค์นี้ และจากนั้นชื่อเสียงของวัดอะซากุสะก็เป็นที่เลื่องลือ จนกระทั่งโชกุนโตกุกาวะ อิเอยะสึ เกิดความเลื่อมใสและได้บริจาคที่ดินจำนวนหนึ่งให้กับวัด
ร้านขายของที่ระลึกบนถนนนากามิเสะ
สัญลักษณ์ของวัดแห่งนี้อยู่ที่โคมยักษ์สีแดงสูงกว่า 5.5 เมตร มีรูปสายฟ้าและเมฆเขียนด้วยสีดำและแดง ซึ่งแขวนอยู่ ณ ประตูคามินาริ (ประตูฟ้าคำรณ) ด้านนอก ถัดเข้ามาจะเป็นถนนนากามิเสะ ถนนที่ทอดไปสู่ตัววิหาร ซึ่งเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก และขนมมากมายเรียงรายอยู่ทั้งสองข้างทาง และถึงจะเป็นเพียงถนนสายสั้นๆ แต่ถนนแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลที่เดินกันอยู่ขวักไขว่ ทำให้ผมต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะเดินฟันฝ่าฝูงชนผ่านไปได้

เมื่อพ้นออกมาจากความแออัดของผู้คนบนถนนนากามิเสะ ผมก็ต้องเดินผ่านซุ้มประตูใหญ่ด้านในนามว่า "โฮโซ" อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งก็มีโคมยักษ์สีแดงแขวนอยู่เช่นกัน เพื่อเข้าไปยังตัววิหารที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์
หุ่นจำลองนางเอกละครคาบูกิ ที่ดูเหมือนจริงราวกับมีชีวิต
และเมื่อได้กราบไหว้สักการะขอพรพระโพธิสัตว์คันนน รวมทั้งแวะดูของบนถนนนากามิเสะในตอนขากลับออกมาเป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลาที่ผมและเพื่อนไกด์จะได้ไปทานอาหารเย็นกันสักที เดินมาตลอดบ่ายถึงค่ำ หิวเต็มทีแล้วครับ

มาถึงตรงนี้ผมคงต้องขอจบการเล่าเรื่องเที่ยวญี่ปุ่นของผมเอาไว้เพียงแค่นี้ก่อน เล่ามา 4 ตอนแล้วเกรงว่าทุกท่านจะเบื่อกัน ในตอนหน้าก็พักไปอ่านเรื่อง "เที่ยวต่างแดน" ในแดนอื่นกันบ้างนะครับ แล้วไว้ไปเที่ยวที่ไหนมาอีกผมจะกลับมาเล่าให้ฟังกันใหม่ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามครับ คราวนี้ขอตัวไปทานและไปเที่ยวต่อก่อน... สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น