xs
xsm
sm
md
lg

ชม“แทสมาเนียนเดวิลตัวจริง” ที่“เกาะแทสมาเนีย” ออสเตรเลีย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย : จุชดานิน

หลายคนคงจะรู้จักชื่อ “แทสมาเนียน เดวิล” หรือเจ้า “Tasmanian Devil” จากการ์ตูนของ looney tunes ซึ่งจะมีเจ้าตัวแทสมาเนียนสีน้ำตาลหน้าดุมีเขี้ยวพูดไม่รู้เรื่อง ชอบหมุนตัวแบบควงสว่านทำลายล้างทุกสิ่ง มีนิสัยหุนหันพลันแล่น ซุกซน และมักหิวอยู่ตลอดเวลา

แต่สำหรับเจ้าตัวแทสมาเนียนเดวิลในโลกของความจริงแล้ว ฉันว่ามันช่างมีรูปร่างหน้าตาที่ต่างกันยิ่งนัก แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งลักษณะนิสัยที่คล้ายคลึงกัน โดยมีความสามารถพิเศษสามารถกิน กิน กิน ได้ถึง 40% ของน้ำหนักตัวภายในครึ่งชั่วโมง อีกทั้งพวกมันยังมีนิสัยดุร้ายและมักจะสู้กันบ่อยครั้ง

แม้เจ้าแทสมาเนียนเดวิลจะสามารถตกลูกคราวละประมาณ 30 ตัว แต่จะมีเพียง 4 ตัวเท่านั้นที่ได้กินนมถึงจะมีชีวิตรอด บวกกับสัตว์ชนิดนี้เป็นสัตว์พื้นเมืองที่จะพบเฉพาะบนเกาะแทสมาเนีย ประเทศออสเตรเลียเท่านั้น จึงทำให้ปัจจุบันเจ้าสัตว์ชนิดนี้เหลืออยู่น้อยตัวแล้ว หากใครอยากเห็นเจ้าแทสมาเนียนเดวิลตัวเป็นๆ ก็ต้องมายลโฉมกันที่เกาะแห่งนี้

แต่ก่อนที่จะมา ฉันขอแนะนำให้รู้จักเกาะรูปแอปเปิ้ล หรือบางคนอาจจะเห็นเป็นเกาะรูปหัวใจแห่งนี้กันก่อน โดยชื่อของ “เกาะแทสมาเนีย” มาจากนักเดินเรือชาวฮอลันดา ชื่อ กัปตันอาเบล แทสมาน (Abel Tasman) ได้ ค้นพบเกาะแห่งนี้ในปี คศ.1642 (พ.ศ.2185) และให้ชื่อว่า “เกาะแวน ดีเมน” (Van Diemen’s Land) ตามชื่อข้าหลวงใหญ่ Anthony Van Diemen แห่ง Dutch East Indies และอ้างสิทธิ์เป็นของฮอลแลนด์

ด้วยความที่พื้นที่แถบนี้เป็นที่ว่างเปล่า แห้งแล้ง ชาวฮอลันดามาอาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้ได้ไม่นานก็ต้องละทิ้งดินแดนแห่งนี้ไป จนเมื่อ ค.ศ.1802 ชาวอังกฤษได้เดินทางมาถึง Van Diemen’s Land ที่เป็นเกาะร้าง เหมาะสำหรับทำเป็นสถานกักกันนักโทษ กระทั่งในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 อังกฤษก็ได้ยึดเอา Van Diemen’s Land มาเป็นเมืองขึ้น และถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับขังนักโทษที่ถูกเนรเทศจากเกาะอังกฤษเป็นเวลานาน

กระทั่งในปี ค.ศ.1853 จึงได้มีการประกาศให้ยุติการเนรเทศ และในปีต่อมาก็ได้เปลี่ยนชื่อ Van Diemen’s Land มาเป็น “เกาะแทสมาเนีย” (Tasmania) เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบคนแรก จนปัจจุบัน

แทสมาเนียแม้จะเป็นรัฐที่มีขนาดเล็ก แต่เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย มีเมืองหลวงคือ “เมืองโฮบาร์ต”(Hobart) ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1804 บริเวณปากแม่น้ำเดอร์เวนท์ (Derwent River) เมืองนี้ถือว่าเป็นเมืองที่มีประชากรเยอะที่สุดในรัฐแทสมาเนีย และเป็นเมืองท่าที่สำคัญ

สถานที่ที่น่าสนใจในเมืองโฮบาร์ตนี้เริ่มตั้งแต่บริเวณท่าเรือ “วอเตอร์ฟรอนต์” (Waterfront) ที่ดูมีชีวิตชีวาด้วยวิถีประมงและการซื้อขายอาหารทะเลมากมาย รวมทั้งวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ใกล้กันเป็นบริเวรที่เรียกว่า “ซาลามังกาเพลซ” (Salamanca Place) เป็นอาคารโกดังเก่าสร้างจากหินทรายตั้งแต่สมัยอาณานิคมล่าวาฬในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ปัจจุบันได้รับการบูรณะซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเดิมอย่างดีเยี่ยม ถือเป็นตัวอย่างสถาปัตยกรรมแบบ Australian Colonial ที่น่ายล เปิดเป็นร้านขายอาหารการกินและงานศิลปะ ในทุกๆวันเสาร์จะมีตลาดนัดขนาดใหญ่ที่รวมสินค้าแทบทุกชนิดทั้งอาหาร งานศิลปะ งานหัตถกรรม ของที่ระลึก ของเก่าของโบราณ มากมายให้ได้ชอปปิ้งกันอย่างคึกคัก

“แบตเตอรีพอยต์” (Battery Point) เป็นย่านที่เก่าแก่ที่สุดจนได้ชื่อว่าเป็นศูนย์ประวัติศาสตร์ของเมืองโฮบาร์ต ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับซาลามังกาเพลซ มีอาคารโบราณเกือบ 200 ปีอยู่หลายสิบหลัง สถาปัตยกรรมแบบGeorgian ที่กล่าวกันว่าดีที่สุดในออสเตรเลีย หากใครที่ได้มาเยือนยังย่านแบตเตอรีพอยต์จะต้องเพลิดเพลินไปกับการเดินชมความสวยงามของบ้านช่องอย่างหลายรูปแบบ

“พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแวนดีเมนส์แลนด์” (Van Diemen's Land Folk Museum) จัดแสดงเรื่องราวของแทสมาเนียตั้งแต่อดีตรวมถึงเรื่องราวของชนเผ่าอะบอริจินิสซึ่งเคยอาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้มาก่อน หากใครที่ชื่นชอบช็อกโกแลตก็ไม่ควรพลาด “โรงงานช็อกโกแลตแคดบูรี” (Cadbury Schweppes Chocolate Factory) ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1921 โรงงานช็อกโกแลตแคดบูรีแห่งนี้เป็นโรงงานขนมที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย นักท่องเที่ยวที่หลงเสน่ห์ในความหวานของช็อกโกแลตสามารถเข้าชมการผลิตและลิ้มลองชิมช็อกโกแลตกันได้ในทุกๆวัน ซึ่งเขาจะเปิดให้เข้าเป็นรอบๆและจำกัดจำนวนผู้เข้าชม ดังนั้นจึงควรจองมาก่อนล่วงหน้าจะดีที่สุด

อีกสถานที่หนึ่งในเมืองหลวงโฮบาร์ตที่ไม่ควรพลาดก็คือ “เมาท์เวลลิงตันส์” (Mt. Wellington) ภูเขาที่เป็นฉากหลังของโฮบาร์ต สูงราว 1,270 เมตร เป็นจุดชมวิวมุมสูงที่สวยงามมาก ในฤดูหนาวจะมีหิมะปกคลุมยอดเขาดูงดงาม

บริเวณรอบนอกเมืองโฮบาร์ตก็มีที่เที่ยวที่น่าสนใจมากมาย อาทิ “ทารูนา” (Taroona) เป็นสถานที่ตั้งของ “Shot tower” หอคอยสูง 48 เมตร ด้านบนเป็นจุดชมวิวที่สวยงามมองเห็นแม่น้ำเดอร์เวนต์ หรือหากชื่นชอบเจ้าสัตว์ประจำถิ่นที่แสนน่ารักก็ต้องไปที่ “โบโนรองปาร์ก” (Bonorong Park Wildlife Centre) ที่รวบรวมสัตว์พื้นเมืองนานาชนิดให้ได้ชมกันอาทิ วอมแบท วัลลาบีหรือจิงโจ้จิ๋ว และเจ้าปิศาจแทสมาน ที่ถือเป็นสัตว์สัญลักษณ์เฉพาะถิ่น

หรือจะเที่ยวชมหินโบราณ “The Nut” สถานที่เก่าแก่อีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในเมือง Stanleyเป็นหินบะซอลท์ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ อายุราว 12ล้านปี บนก้อนหินโบราณ The Nut เป็นพื้นที่ราบขนาดใหญ่ มองเห็นทะเลกว้างไกลสวยงาม

เมือง “ริชมอนด์” (Richmond) เป็นเมืองเก่าเล็กๆอีกเมืองหนึ่งที่น่าไปเยือน ผู้ที่หลงใหลในสถาปัตยกรรมเก่าแก่จากสมัยศตวรรษที่ 19 ก็ไม่ควรพลาดกับอาคารโบราณที่ยังหลงเหลืออยู่กว่า 50 หลัง “โบสถ์เซนจอห์น” (ST. John’s Church) ซึ่งเป็นโบสถ์นิกายคาทอลิกเก่าแก่ที่สุดในประเทศ ใกล้กันมี “Richmond Bridge” สะพานที่เก่าแก่ที่สุดในออสเตรเลีย สร้างจากหินทรายโดยนักโทษเมื่อปี 1823

จากโฮบาร์ตผ่านริชมอนด์ข้ามสะพาน Richmond Bridge จะไปถึงยัง “พอร์ตอาร์เธอร์” (Port Arthur) สถานที่ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติสาสตร์อย่างมาก เพราะในอดีตเคยเป็นที่คุมขังนักโทษจนได้รับฉายาว่า “คุกสุดโหด” สถานที่แห่งนี้ใช้เป็นที่คุมขังนักโทษมาตั้งแต่สมัย ค.ศ.1830 ใกล้เคียงการมาถึงของคนขาวในระยะแรก จนกระทั่ง ค.ศ.1877 ตลอดสี่สิบกว่าปีของความโหดร้ายยังคงอยู่ในความทรงจำจนถึงปัจจุบัน ความรู้สึกขรึมขลังน่าเกรงขามจนกระทั่งน่าหวาดหวั่นเกิดขึ้นกับผู้มาเยือน

ภายในพอร์ตอาร์เธอร์มีสถานที่สำคัญหลากแห่ง ทั้งป้อมปราการที่เหลือเพียงซาก เรือนจำPenitentiary ที่สร้างเป็นอาคารยาว เป็นที่รู้จักกันดีในเมืองพอร์ตอาร์เธอร์ คุกโมเด็ลพริซัน(Model Prison) ที่สร้างขึ้นในปี 1850 ใช้เป็นที่กักขังนักโทษทั้งร่างกายและจิตใจ โดยนักโทษที่อยู่ที่นี่ห้ามพูดคุยกับใคร ต้องสวมหน้ากากและล่ามโซ่อยู่ตลอดเวลาและถูกขังอยู่ในห้องเล็กๆวันละ 23 ชั่วโมง และยังมีคุมประเภทอื่นๆอีกมาก บ้านผู้คุม โรงพยาบาล โบสถ์ ที่เคยใช้งานจริงยังคงหลงเหลือให้เห็น

นอกจากนี้หากใครยังไม่ขนลุกพอ ในตอนกลางคืนยังมีโปรแกรมทัวร์หรือ Ghost Tours ให้ผู้ที่ชอบทดสอบตนเองได้ทดลองกัน โดยจะมีไกด์พื้นเมืองนำลูกทัวร์เดินผ่านซอกมุมมืดๆและเล่าเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นรวมถึงเรื่องสยองขวัญของเมืองผีดุแห่งนี้ ทั้งผีนักโทษ ผีผู้คุมของเมืองพอร์ต อาร์เธอร์ให้ได้ฟังเพื่อสร้างอารมณ์ร่วมกันด้วย

หากได้มีโอกาสมาเยือนเกาะแทสมาเนียแห่งนี้ ฉันขอแนะนำว่าควรจะอยู่เที่ยวหลายๆวัน เพราะนอกจากรัฐแทสมาเนียจะเป็นเกาะแยกออกจากแผ่นดินแล้ว ยังมีขนาดของพื้นที่ที่ใหญ่และมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายโดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของโลกหลายต่อหลายแห่งด้วยกัน

ชื่อเสียงในเรื่องเส้นทางเดินป่า มีป่าอนุรักษ์ที่สมบูรณ์สวยงาม มีแหล่งท่องเที่ยวสวย งามติดอันดับโลก ไม่ว่าจะเป็นชายหาด ทะเลสาบ หรือภูเขา อาทิ อุทยานแห่งชาติเครเดิลเมาท์เทนเลคเซนต์แคลร์(Cradle Mountain-Lake St.Clair National Park) พื้นที่ป่าที่มีชื่อเสียงที่สุดในออสเตรเลีย มีวิวทิวทัศน์และจุดเดินป่าที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ทะเลสาบDove, ชายหาดBicheno เป็นสถานที่ที่ดีเยี่ยมในการแอบชมนกเพนกวินเดินขบวนขึ้นจากทะเลอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นต้น

หากใครได้มาเยือนยังประเทศออสเตรเลีย ก็อย่าลืมหาเวลาแวะเวียนมายังเกาะชื่อตัวการ์ตูนแห่งนี้ รับรองว่าได้เที่ยวครบทุกอรรถรสเป็นแน่.
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

รัฐแทสมาเนีย(Tasmania) ตั้งอยู่บนเกาะแทสมาเนีย ทางตอนใต้ของประเทศออสเตรเลีย การเดินทาง จากประเทศไทยเดินทางโดยเครื่องบินไปลงยังสนามบินเมืองเมลเบิร์น รัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย ใช้เวลาประมาณ8-9 ชั่วโมง จากนั้นต่อเครื่องบินภายในประเทศอีก 1 ชั่วโมง ไปลงยังเมืองโฮบาร์ตHobart) เมืองหลวงของรัฐแทสมาเนีย หรือทางเรือ โดยจะมีเรือออกจากเมืองเมลเบิร์นไปยังเมืองเดวอนพอร์ต เมืองทางตอนเหนือของเกาะแทสมาเนีย
กำลังโหลดความคิดเห็น