xs
xsm
sm
md
lg

เช้านี้ที่แม่ฮ่องสอน...บันทึกนอกโน้ตบุ๊ก : ตอนจบ -กองมูสูงเสียดฟ้า

เผยแพร่:   โดย: ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี
องค์พระธาตุคู่สีขาวเด่นแห่งวัดพระธาตุดอยกองมู สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองแม่ฮ่องสอน
...6 โมงปลายๆ...

ท้องฟ้าเรื่อเรืองรอง

บรรยากาศในตลาดสายหยุดหรือตลาดเช้าแห่งแม่ฮ่องสอน ยิ่งมายิ่งคึกคักไปด้วยสีสันของการซื้อ-ขาย

ผมกับพี่โหน่ง(ภานุเดช ไชยสกูล)หลังเดินโต๋เต๋ชมตลาดพอเหงื่อซึม เรา 2 คนจึงลงความเห็นกันว่า ถึงเวลาอันควรที่ต้องจรลีล่ำลาตลาดแห่งนี้กันแล้ว เพราะเรา 2 ตั้งใจไว้อย่างแน่วแน่ว่า เช้านี้ยังไงต้องขึ้นไปไหว้พระธาตุที่วัดพระธาตุดอยกองมูให้ได้

พูดถึงวัดพระธาตุดอยกองมูแล้ว ว่ากันว่าใครไปแม่ฮ่องสอนแล้วไม่ได้ขึ้นไปไหว้ถือว่ายังไปไม่ถึงเพราะนอกจากจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองแม่ฮ่องสอน บนนั้นยังเป็นจุดชมวิวชั้นดี ที่เมื่อมองลงไปจะเห็นตัวเมืองแม่ฮ่องสอนตั้งอยู่อย่างสงบงามท่ามกลางขุนเขาที่โอบล้อม แถมยังเห็นสนามบินเล็กๆแต่มีเอกลักษณ์ของเมืองสามหมอกอีกด้วย
ทิวทัศน์ยามเย็นเมืองแม่ฮ่องสอน ณ จุดชมวิวพระธาตุดอยกองมู
และถ้าใครไปถูกจังหวะเวลาก็จะได้เห็นการบินขึ้น-ลงของเครื่องบินเป็นอีกหนึ่งจุดสนใจประกอบวิวทิวทัศน์เบื้องล่าง แถมสายการบินบางเจ้าเวลาขึ้น-ลงอาจจะได้ยินเสียงบ่นจากคนแม่ฮ่องสอน(บางคน)เป็นของแถม(อันนี้ผมได้ยินมากะหูตัวเอง)ไล่หลังมา ว่า

“...(อะไรวะ!?!)บินใกล้ๆแม่ฮ่องสอน-เชียงใหม่แค่นี้ ทำไมค่าตั๋วมันถึง โค-ตะ-ระ-แพง เหลือเกิน ยิ่งช่วง 2 ปีให้หลังนี่ ค่าตั๋วขึ้นเอ๊าขึ้นเอาแบบไม่แคร์ความรู้สึกผู้โดยสารแต่อย่างใด...”

ครับ และนั่นก็เป็นเสียง(สะท้อน)นอกฟิล์มประกอบฉากที่ผู้โดยสารผู้ถูกมัดมือชก(ข้างเดียว)ได้ฟังแล้ว คงหัวร่อมิได้ ร่ำไห้มิออก ด้วยประการทั้งปวง

...ราวๆ 7 โมง

เราเดินทางขึ้นมาถึงยังวัดพระธาตุดอยกองมู(หรือชื่อเดิมถือวัดปลายดอย) ท้องฟ้าเปิดขาวจ้าได้พักใหญ่ แต่บนนี้มองไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นเพราะถูกบังด้วยทิวเขาจึงมีเพียงแสงยามเช้าที่สาดส่องแรงขึ้นเรื่อยๆ

ก่อนจะไปชมวิว ชมเมืองแม่ฮ่องสอนมุมสูงยามเช้า ผมหยุดไหว้องค์พระธาตุ(รอบแรก)เอาฤกษ์เอาชัยในเวอร์ชั่นรวบรัดก่อน 1 รอบ จากนั้นจึงห้อไปยังศาลาชมวิวฝั่งซ้ายขององค์พระธาตุอย่างปัจจุบันทันด่วน เพราะจังหวะนั้นช่องเขาด้านซ้ายได้มีสายหมอกขาวลอยอ้อยอิ่งเป็นสายขาวนวลค่อยๆไปตามสายลม(ไปทางขวา)เข้าหาตัวเมืองแม่ฮ่องสอน

มวลหมอกเบื้องหน้าที่เห็นยามนี้ทำให้ผมอดนึกไปถึงขนมปุยฝ้ายไม่ได้ เพราะมันดูพลิ้ว นุ่ม เบา จนน่าจะหาไม้ยาวๆไปม้วนๆมาแทะกินเล่นเสียนี่กระไร

...นี่ถ้าหมอกสายนี้กินได้และมีรสหวาน ผมคงจะมีขนมปุยฝ้ายกินไปทั้งปี แต่ที่กลัวก็คือจะเป็นเบาหวานตายซะก่อนนะสิ...

“โน่น ทางฝั่งโน้นก็มี แถมเยอะกว่าด้วย” พี่โหน่งตะโกนบอก กระตุกอารมณ์ให้ผมตื่นจากภวังค์เรียกขวัญกลับมาที่เดิม

อ้าวเฮ้ย!!! เผลอแป๊บเดียวพี่แกไปยืนตรงลานชมวิว(ยกพื้น)ทางฝั่งขวาขององค์พระธาตุตั้งแต่เมื่อไหร่ๆไม่รู้ ผมไม่รีรอเดินไปหาแกทันที

บนลานฝั่งนี้เมื่อมองออกไปจะช่องเขาถูกปกคลุมไปด้วยทะเลหมอกขาวโพลนหนาแน่นทึบดูนุ่มนวลสวยงาม ที่พิเศษก็คือเจ้าทะเลหมอกสายนี้มันค่อยๆลอยตามสายลม(ไปทางซ้าย)เข้าหาตัวเมืองแม่ฮ่องสอนเช่นกัน

เมื่อทะเลหมอกลอยไปทางซ้าย สายหมอก(คล้าย)ปุยฝ้ายลอยไปทางขวา อีกไม่นานมันก็จะไปจ๊ะเอ๋ กันนะสิ แถมจุดที่สายหมอกจะไปรวมตัวผสมสานสมานฉันท์กันนั้นอยู่เหนือตัวเมืองแม่ฮ่องสอนพอดิบพอดี

“นี่เป็นเรื่องปกติของทะเลหมอกที่นี่” พี่โหน่งบอกจากประสบการณ์ของแกที่ได้เห็นปรากฏการณ์หมอกฝั่งซ้ายไหลไปรวมกับหมอกฝั่งขวาอยู่บ่อยครั้ง

แต่สำหรับผมการที่นานๆจะมีโอกาสได้เห็นภาพหมอก 2 สาย ฝั่งซ้าย-ขวา ไหลมาผสมผสานรวมกัน นับว่ามันช่างเป็นความบังเอิญอย่างร้ายกาจจริงๆ (ผิดกับการรวมตัวกันของพวกแนวคิดฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวาในบ้านเมืองเรา ที่งานนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด หากแต่เป็นเรื่องของผลประโยชน์ล้วนๆ...ทุด!!! พวก(อ้าง)รักชาติจนน้ำลายไหล)

ช่วงระหว่างที่สายหมอกซ้าย-ขวา ไหลมาสมานฉันท์กัน ผมถือโอกาสเดินไปยังบันไดสิงห์คู่(ศิลปะไทยใหญ่)ที่เป็นจุดชมวิวน่าสนใจอีกจุดหนึ่งบนดอยกองมู พร้อมเคาะระฆังดังเหง่งหง่างเสีย 3 ที(ตามความเชื่อว่าใครเคาะ 3 ครั้งจะโชคดี) ก่อนเดินไปหามุมเหมาะๆแถวตัวสิงห์ถ่ายรูป

ปกติ มุมแถวๆนี้ถ้ามองลงไปจะเห็นวิวเมืองแม่ฮ่องสอนด้านหนองจองคำได้เป็นอย่างดี แต่ช่วงเวลานี้ภาพตัวเมืองแม่ฮ่องสอนกลับผิดแผกแตกต่างออกไป เพราะมันค่อยๆถูกสายหมอกทั้งจากซ้ายและขวาห่มคลุม ดูแล้วเหมือนเมืองในม่านหมอกที่ออกแนวฟุ้งฝันไม่น้อยเลย

หลังจากนั้นไม่นานม่านสายหมอกก็แผ่สยายปกคลุมกลืนกินเมืองแม่ฮ่องสอนจนกลายเป็นทะเลหมอกขาวโพลนไปหมด ดูประหนึ่งราวกับว่าวัดพระธาตุกองมูตั้งอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้าที่มีเมฆลอยพลิ้วลิ่วละเรี่ย

...นี่กระมังคือ กองมูสูงเสียดฟ้า หนึ่งในคำขวัญประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน (คำขวัญจังหวัดแม่ฮ่องสอน คือ “หมอกสามฤดู กองมูเสียดฟ้า ป่าเขียวขจี ผู้คนดีประเพณีงาม ลือนามถิ่นบัวตอง”)

...ประมาณ 7 โมงครึ่ง

ตะวันกำลังจะโผล่พ้นขอบเขา

ผมละสายตาจากการชมทะเลหมอก เพราะแสงแดดเริ่มจ้าขึ้นเรื่อยๆขืนดูต่อไปตาอาจจะบอดได้ จึงเลือกเปลี่ยนอารมณ์มาเดินชมศิลปะที่วัดแห่งนี้กันบ้าง

วัดพระธาตุดอยกองมูมีศิลปะโดยรวมเป็นแบบไทยใหญ่ มีวิหารเปิดโล่งหลังคาซ้อนสามชั้น ตกแต่งด้วยลวดลายฉลุสังกะสีแบบไทยใหญ่อันงดงามและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ส่วนองค์พระธาตุคู่สีขาวเด่นที่ยามนี้ต้องแสงแดดอ่อนๆดูขรึมขลังสวยงามไปอีกแบบนั้น เป็นศิลปะแบบมอญ สร้างในต่างช่วงเวลาต่างวาระกัน

องค์ใหญ่(องค์แรก)สร้างในปี พ.ศ.2403 โดยจองต่องสู่ ใช้เป็นที่บรรจุพระธาตุของพระโมคคัลลานะเถระที่นำมาจากพม่า ส่วนองค์เล็ก(องค์หลัง)สร้างในปี พ.ศ. 2417 โดยพระยาสิงหนาทราชา เจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรก ตรงมุมทั้งสี่ของฐานพระธาตุประดับด้วยประติมากรรมรูปสิงห์ปูนปั้น

นอกจากนี้ที่ฐานของพระธาตุทั้ง 2 ยังประดิษฐานพระพุทธรูปประจำวันเกิดในต่างๆ

“ถ้าอยากอธิษฐานขอพรอะไรให้สมหวังสมปรารถนา คนที่นี่เขาเชื่อว่าให้ถวายเครื่องบูชาธาตุทั้ง 4”

พี่โหน่งบอกกับผมยังงั้น ซึ่งก็พอดีกับที่ตรงเพิงทางไปลงไปห้องน้ำ มีคุณป้านำเครื่องบูชาธาตุทั้ง 4 หรือเครื่องสืบชะตามาวางไว้เป็นชุดๆให้ผู้สนใจ ทำบุญตามศรัทธา แล้วหยิบเครื่องบูชาฯไปเดินวนรอบองค์พระธาตุ(ตามป้ายบอก) 3 รอบ ก่อนจะนำเครื่องบูชาฯไปถวายยังพระพุทธรูปประจำวันเกิด

สำหรับเครื่องบูชาธาตุทั้ง 4 (ดิน น้ำ ลม ไฟ) ทำอย่างง่ายๆแต่ดูดีมีสไตล์ เป็นชามสังกะสีวางบนแท่นไม้คู่ ในชามบรรจุดิน วางแจกันกระบอกไม้ไผ่ใสดอกไม้ บนยอดเป็นฉัตรเล็กๆและกระดาษเงินกระดาษทอง มีธูปเทียนสำหรับไหว้พระและท่อนไม้(กิ่งไม้)เล็กๆมัดรวมกัน 2-3 ก้าน วางอยู่ข้างๆดอกไม้

คุณป้าผู้ดูแลเครื่องบูชาธาตุอธิบายความให้ผมกระจ่างแจ้งก่อนจะยกเครื่องบูชาฯไปถวายพระพุทธรูปว่า ดินในชามแทนธาตุดิน ธาตุน้ำแทนด้วยน้ำที่ใส้ไว้ในกระบอกไม้ไผ่ ลมแทนด้วยกระดาษเงินกระดาษทอง ไฟแทนด้วยธูปเทียน

ส่วนที่พิเศษสำหรับผมก็คือมัดกิ่งไม้หรือท่อนไม้เล็กๆแทนไม้ค้ำตามความเชื่อเรื่องการสืบชะตาต่ออายุ แท่นไม้คือสะพานที่เปรียบดังสะพานข้ามผ่านอุปสรรคทั้งปวง

หลังรู้สื่อนัยยะที่แอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ ผมก็หยอดเงินทำบุญ ยกเครื่องบูชาธาตุฯ ไปเดินวนรอบพระธาตุ 3 รอบอย่างไม่รีรอ ก่อนไปหยุดยังพระพุทธรูปประจำวันเกิดเพื่อถวายดอกไม้ จุดธูปเทียน บูชา จากนั้นจึงลาจากวัดพระธาตุดอยกองมูอย่างชุมชื่นหัวใจ กลับไปตั้งหลักยังที่พักอีกครั้ง

...8 โมงกว่า

ท้องฟ้าบนยอดดอยสว่างโร่ แต่ขาลงจากยอดดอยเรากลับมองไม่เห็นท้องฟ้าแต่อย่างใด นั่นเป็นเพราะเบื้องหน้าเราถูกบดบังไปด้วยสายหมอกแน่นหนาทึบ ลอยเป็นละอองไอฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ไกลกว่า 100 เมตร ทำให้โชว์เฟอร์ที่ขับรถลงเขาต้องขับเลาะโค้งลงมาอย่างระมัดระวัง

“นี่เป็นสายหมอกชุดเดียวกับทะเลหมอกที่คุณเห็นบนวัดพระธาตุดอยกองมูนั่นแหละ” พี่โหน่งบอกกับผม

นี่ไยมิใช่อีกด้านหนึ่งของสายหมอกที่บนดอยมองเห็นเป็นทะเลหมอกขาวโพลนดุงดังขนมปุยฝ้ายดูปานประหนึ่งวิมานบนอากาศ ส่วนยามนี้สายหมอกชุดเดียวกันกลับเป็นละอองฟุ้งเทาทึบดูประหนึ่งบรรยากาศมาคุบนเส้นทางลงจากดอย

...และนี่ไยมิใช่ข้อเท็จจริงของสรรพสิ่งทั้งหลายในใต้หล้า ที่มักมีมุมให้มองมากกว่า 1 ด้านเสมอ...

...ราว 8 โมงครึ่ง...

ผมกลับมายังที่พักอีกครั้ง เพื่อปิดบันทึกนอกโน้ตบุ๊กให้จบอย่างสมบูรณ์แฮปปี้เอนดิ้ง ซึ่งก็ไม่มีอะไรมาก นั่นก็คือการกลับเข้ามานอนต่ออีกครั้ง เนื่องจากเช้านี้ผมค่อนข้างตื่นเช้าเป็นพิเศษชนิดผิดปกติวิสัยและกิจวัตรประจำวัน

ฉะนั้นช่วงเวลาที่เหลืออยู่ราวครึ่งชั่วโมงนี้ ผมขอนอนเอาแรงสักหนึ่งงีบเพื่อตุนเป็นพลังไว้ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวจุดอื่นๆในเมืองแม่ฮ่องสอนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น