KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ชี้ส่งออกไทยโตแรง 11% เป็นเพียง "ภาพลวงตา" หลังพบภาคการผลิตจริงในประเทศหดตัวสวนทาง เหตุถูกใช้เป็นเพียงทางผ่านสินค้า (Transshipment) และสวมสิทธิจากจีนเพื่อเลี่ยงกำแพงภาษีสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งออกพุ่งแต่โรงงานไทยเงียบเหงา สะท้อนมูลค่าเพิ่มในประเทศต่ำเตี้ย ซ้ำร้ายยังเผชิญวิกฤตสินค้าจีนราคาถูกทะลักตีตลาดในประเทศ จนเสี่ยงทำโรงงานไทยปิดตัวถาวรและฉุดเศรษฐกิจโตต่ำกว่าคาดแม้ตัวเลขส่งออกจะดูสวยหรู
ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยที่ไม่รวมทองคำเติบโตกว่า 11% ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตที่ดีมาก เทียบกับการคาดการณ์ในช่วงต้นปี การส่งออกที่เติบโตได้ดีมากกว่าปกติอาจทำให้หลายคนเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ไม่ได้เติบโตแย่มากนัก
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณากิจกรรมในภาคการผลิตในช่วงเวลาเดียวกันกลับแทบไม่เติบโตหรือหดตัวลงในบางช่วงสวนทางกับการส่งออกที่โตต่อเนื่อง ตัวเลขที่สวนทางกันนี้อาจกำลังสะท้อนว่าการส่งออกที่เติบโตได้มากกว่าปกติอาจเป็นเพียง "ภาพลวงตา" ที่ไม่ได้สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ดีอีกต่อไป และการดึงดูดการลงทุนเพื่อการส่งออกโดยไม่คำนึงถึงมูลค่าเพิ่มภายในประเทศอาจไม่ก่อให้เกิดพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
*2 ปัจจัยที่ทำให้การส่งออกไทยเติบโตได้ดีในปี 68
มูลค่าการส่งออกไทยในปี 68 ในหลายเดือนทำสถิติสูงที่สุดตั้งแต่มีการบันทึกตัวเลขมา KKP Research ประเมินว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การส่งออกไทยขยายตัวได้ดีมาจาก 2 ปัจจัย คือ
1. ปัจจัยแรก ความผันผวนของตัวเลขการส่งออกรายเดือนจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำและเครื่องประดับ การส่งออกที่เติบโตดีในปีนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากราคาทองคำที่สูงขึ้นในปีนี้ แต่เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้เป็นผู้ผลิตทองคำ ทำให้ไม่ได้มีกิจกรรมในภาคการผลิตทองคำโดยตรงและมีการนำเข้าสุทธิในหมวดทองคำ ยิ่งมูลค่าของการส่งออกทองคำเริ่มสูงขึ้นเทียบกับการส่งออกทั้งหมดจะทำให้ตัวเลขการส่งออกโดยรวมเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ แม้ว่าภาคการผลิตจะไม่ได้เติบโตขึ้นตามไปด้วย
2. ปัจจัยที่สอง ช่วยสนับสนุนการส่งออกไทยในปีนี้คือการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ที่เร่งเติบโตกว่า 29% ในปีนี้แม้ว่าสหรัฐฯ จะประกาศขึ้นภาษีนำเข้าบนสูงขึ้นต่อสินค้าไทย อย่างไรก็ตาม การส่งออกที่ฟื้นตัวในช่วงต้นปี 68 ไม่ได้เกิดจากอุปสงค์ทั่วโลกที่ดีขึ้นเป็นวงกว้าง แต่เป็นผลจากการปรับเส้นทางการค้าและการเร่งส่งออกล่วงหน้า เพื่อเตรียมรับการปรับโครงสร้างภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 19% ในช่วงเดือนส.ค.
อย่างไรก็ตาม การส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนส.ค. และก.ย. แม้จะมีการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าแล้ว ข้อมูลการส่งออกแสดงให้เห็นว่าหมวดสินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งคิดเป็น 35-40% ของส่งออกไทยไปยังสหรัฐฯ ในปี 67 ยังขยายตัวสูงกว่าระดับปกติ ในขณะที่กลุ่มสินค้าที่มีไม่ได้รับการยกเว้น และต้องจ่ายภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงขึ้นขยายตัวช้ากว่า สะท้อนว่าการส่งออกที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่องมีแนวโนมเป็นการเร่งส่งออกชั่วคราว
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาในมิติของสินค้าจะเห็นได้ว่าการส่งออกของไทย (ไปสหรัฐฯ) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมากระจุกตัวอยู่ในหมวดคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น โดยคิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของการเติบโตของมูลค่าการส่งออกที่ไม่รวมทองคำและเครื่องประดับ ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงมาก KKP Research ประเมินว่ามีความเป็นไปได้สูงที่มูลค่าเพิ่มของสินค้ากลุ่มนี้จะมีจำกัดและอาจเข้าข่ายว่ามีการสวมสิทธิจากจีน สะท้อนจากกิจกรรมในภาคการผลิตที่ไม่ได้เติบโตตามส่งออกที่เร่งตัวขึ้น
*มูลค่าเพิ่มของสินค้าที่เร่งส่งออกไปยังสหรัฐฯ คาดว่ามีจำกัด
เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างมูลค่าการส่งออกและผลผลิตอุตสาหกรรมของไทยจะพบว่า สินค้าจำนวนมากในไทยที่ส่งออกเร่งตัวขึ้นและเติบโตกว่า 15-30% ในช่วงผ่านมา กลับมีการผลิตในประเทศที่หดตัวลง ที่เห็นได้ชัด คือกลุ่มคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ (ที่ไม่รวมฮาร์ดดิสก์) และเครื่องจักรกลและชิ้นส่วน รวมไปถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า
KKP Research ประเมินว่า สินค้ากลุ่มเหล่านี้อาจมีการนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนเพื่อการผลิต หรือ Import content ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นหรือบางส่วนอาจเข้าข่ายสวมสิทธิ ทำให้มูลค่าเพิ่มหรือกิจกรรมการผลิตในประเทศจริงเกิดขึ้นน้อย และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างการผลิตและการส่งออกแตกต่างออกไปจากในอดีต สะท้อนจากการนำเข้าในหมวดอิเล็กทรอนิกส์ที่โตขึ้นพร้อมกับการส่งออก
*ความเสี่ยงของภาคการผลิตคือการนำเข้าที่เร่งตัวขึ้น
นอกจากมูลค่าเพิ่มของสินค้าส่งออกไทยที่ลดลง ประเด็นที่น่ากังวล คือ การนำเข้าเร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง มูลค่าการนำเข้าในปี 68 เพิ่มขึ้นสูงกว่า 12% เมื่อเทียบกับปีก่อน แม้ข้อมูลจะสะท้อนว่าการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากจะเป็นวัตถุดิบหรือสินค้าทุนที่ใช้เพื่อการส่งออกโดยเฉพาะในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์
KKP research ประเมินว่า หลายสินค้าที่การนำเข้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นสินค้าที่ใช้บริโภคในประเทศเช่นกัน เช่น รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป เป็นต้น ซึ่งสะท้อนว่าสินค้าจากต่างประเทศกำลังเข้ามาตีตลาดในประเทศมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าราคาถูกของจีน สะท้อนจากสัดส่วนการนำเข้าสินค้าจีนต่อสินค้าทั้งหมดที่เพิ่มขึ้น และส่วนหนึ่งเริ่มส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตภายในประเทศในหลายกลุ่มสินค้า
ในระยะถัดไปสถานการณ์นี้ยังมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น สถานการณ์ในจีนปัจจุบันภาคการผลิตยังมีอุปทานส่วนเกินค้างในระดับสูงเนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศชะลอตัวแต่ยังมีการขยายการลงทุนในภาคการผลิตเพิ่มขึ้นทำให้ตลาดต่างประเทศต้องเป็นตลาดที่รับกำลังการผลิตส่วนเกินนี้ ซึ่งในประเทศที่กำลังเผชิญกับสินค้าจีนทะลักก็คือประเทศไทย
สถานการณ์ดังกล่าว ยังเป็นแรงกดดันที่สำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะหากกำลังการผลิตในไทยปรับลดลงถึงจุดที่โรงงานขาดทุนต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้โรงงานในภาคอุตสาหกรรมไทยไม่สามารถดำเนินกิจการต่อและต้องปิดตัวลงมากขึ้นในอนาคต ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบด้านลบต่อการจ้างงาน การใช้จ่ายภายในประเทศและรวมไปถึงดุลการค้าของไทยในระยะข้างหน้า ประเด็นนี้คือปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่าที่หลายฝ่ายประเมินไว้แม้ว่าตัวเลขการส่งออกจะยังเป็นบวกก็ตาม


