xs
xsm
sm
md
lg

2ทางแยกของJKN อยู่รอดหรือถูกเทกฯ MUO กู้จักรวาล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ประเมินทิศทางธุรกิจ “เจเคเอ็น โกลบอล” หลังได้ Grant Thornton เข้ามาบริหารแผนฟื้นฟู และข่าวลือกรณีผู้ถือหุ้นใหญ่ ชี้กุญแจสำคัญในการพลิกฟื้นอยู่ที่ “Miss Universe” หากรักษาไว้ได้จะช่วยสร้างเม็ดเงินและขับเคลื่อนธุรกิจ แถมยังเกื้อหนุน E-Commerce เติบโตอย่างไม่เปราะบาง ขณะที่ธุรกิจลิขสิทธิ์คอนเทนต์แรงขับเคลื่อนเริ่มต่ำ แต่หากพลาดเป้าของดีในมือเสี่ยงถูกดึงออก


ในช่วงเวลานี้ ข่าวเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (JKN) กำลังเป็นที่จับตามองของนักลงทุน และนั่นทำให้ JKN กำลังเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความเปราะบางและเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เพราะเหตุการณ์เหล่านี้ได้ตอกย้ำถึง วิกฤตความเชื่อมั่นของตลาดและผู้ถือหุ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้บริษัทเพิ่งประกาศเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ภายใต้ศาลล้มละลายกลาง

โดยการยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการเกิดขึ้นหลังจากที่แผนการชำระหนี้เดิม ถูกตั้งคำถามอย่างหนักในตลาดทุน ทำให้ในที่สุดการบริหารบริษัทถูกส่งมอบให้กับ บริษัท แกรนท์ ธอนตัน แอดไวซอรี่ เซอร์วิสเซส จำกัด (Grant Thornton) ในฐานะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ

สำหรับ Grant Thornton ไม่ได้เป็นเพียงผู้บริหารชั่วคราว แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับโครงสร้างหนี้ระดับนานาชาติที่เข้ามาพร้อมกับอำนาจเต็มในการกำกับดูแลและจัดการทรัพย์สินทั้งหมดของ JKN

ภารกิจเร่งด่วนที่สุด ของผู้บริหารแผนฯ คือการสร้างความโปร่งใสและแก้ไขปัญหาสุดวิสัยอย่าง การไม่นำส่งงบการเงินปี 2567 (ทั้งไตรมาส 1 และ 2) ให้ได้ตามกำหนด หลังจากการไม่สามารถนำส่งข้อมูลทางการเงินที่ถูกต้องและตรวจสอบได้นั้น ส่งผลให้หลักทรัพย์ของบริษัทถูกขึ้นเครื่องหมายห้ามซื้อขาย (SP) และมีความเสี่ยงสูงสุดที่จะนำไปสู่การเพิกถอนหลักทรัพย์ (Delist) อย่างถาวร ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่จะทำลายมูลค่าของบริษัทที่เหลืออยู่และทำให้แผนฟื้นฟูทั้งหมดต้องล้มเหลว **

การพลิกฟื้น JKN ในครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การปรับโครงสร้างหนี้ แต่เป็นการต่อสู้เพื่อ ธรรมาภิบาลและความอยู่รอดของธุรกิจหลัก ท่ามกลางแรงกดดันจากกลุ่มเจ้าหนี้หลัก และผู้เล่นสำคัญที่มีอิทธิพลต่อทรัพย์สินของ JKN อย่าง Legacy Holding Group (LHG) หุ้นส่วนชาวเม็กซิโก และ MGI (มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล) ซึ่งผู้บริหารแผนฯ ต้องใช้กลยุทธ์ที่เฉียบขาดในการรับมือ


ธุรกิจลิขสิทธิ์คอนเทนต์แรงขับเคลื่อนต่ำ
เริ่มที่ ธุรกิจลิขสิทธิ์คอนเทนต์และรายการโทรทัศน์ ซึ่งเคยเป็นแกนหลักและแหล่งรายได้ที่มั่นคงของ JKN ได้แก่ การนำเข้าซีรีส์และรายการจากประเทศอินเดีย (Bollywood) และภูมิภาคเอเชีย ได้ถูกลดความสำคัญลงและกลายเป็น ทรัพย์สินที่ไม่มีแรงขับเคลื่อนหลัก ในแผนการฟื้นฟู

นั่นเพราะตลาดคอนเทนต์ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ช่องทางโทรทัศน์ดั้งเดิมเผชิญกับการแย่งชิงผู้ชมไปยังแพลตฟอร์ม OTT (Over-the-Top) และบริการสตรีมมิ่งเฉพาะทางอื่น ๆ การลงทุนในลิขสิทธิ์คอนเทนต์ต่างประเทศที่ซื้อมาล่วงหน้าในอดีตจึงสร้างผลตอบแทนได้ไม่เหมือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ศักยภาพในการ สร้างรายได้แบบก้าวกระโดด เพื่อนำมาชดเชยภาระทางการเงินของบริษัทนั้นลดลงไป

ทำให้ปัจจุบัน บทบาทของธุรกิจคอนเทนต์ ถูกหลายคนมองว่าไม่ใช่การสร้างการเติบโต แต่เป็นการสร้างกระแสเงินสดจากการขายลิขสิทธิ์เก่าที่ยังคงเหลืออายุสัญญาอยู่ มากกว่าการซื้อลิขสิทธิ์เข้ามาใหม่ ทำให้การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทจึงถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ปาดเหงื่อ




การด้อยค่าและการประเมินมูลค่าลดลง

ไม่เพียงเท่านี้ อีกปัญหาของพอร์ตลิขสิทธิ์คอนเทนต์คือ ภาระทางการบัญชี ที่เกิดจากธรรมชาติของทรัพย์สินเอง โดยเฉพาะ เช่นค่าตัดจำหน่าย (Amortization)เนื่องจากลิขสิทธิ์มีอายุการใช้งานจำกัด และต้องถูกตัดจำหน่ายมูลค่าทางบัญชีอย่างต่อเนื่องตามระยะเวลาออกอากาศ ทำให้ต้นทุนคงที่สูงและกดดันกำไรสุทธิ

รวมถึงการด้อยค่า โดย JKN ได้เคยบันทึก ขาดทุนจากการด้อยค่าของทรัพย์สิน ของลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในพอร์ตไปแล้วเป็นมูลค่ามหาศาล ซึ่งการด้อยค่านี้บ่งชี้ว่า มูลค่าของลิขสิทธิ์ที่เหลืออยู่ในบัญชี นั้น สูงกว่ามูลค่าที่คาดว่าจะขายได้จริง .
การด้อยค่านี้ทำให้มูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สินคอนเทนต์ในสายตาของเจ้าหนี้และผู้บริหารแผนฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เพราะหากต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย การขายทอดตลาดในภาวะวิกฤต จะทำให้มูลค่าที่ได้รับจากส่วนนี้ต่ำมาก ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ผู้บริหารแผนฯ อาจมีแนวโน้มที่จะต้องจำหน่ายทรัพย์สินคอนเทนต์ส่วนใหญ่ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ออกไป เพื่อลดภาระทางบัญชีและเก็บไว้เฉพาะส่วนที่ยังทำกำไรได้เท่านั้น


MUO หัวใจของมูลค่า

ธุรกิจต่อมา คือ Miss Universe Organization (MUO) ถูกประเมินว่าคือทรัพย์สินเชิงกลยุทธ์ที่มีมูลค่าสูงและมีความสำคัญสูงสุดต่อการคงอยู่ของ JKN ในปัจจุบัน บริษัทเหลือสัดส่วนการถือครองอยู่ที่ 50% ร่วมกับหุ้นส่วนชาวเม็กซิโก Legacy Holding Group (LHG) การถือครองร่วมนี้เป็นการแบ่งเบาภาระและบริหารความเสี่ยง แต่ขณะเดียวกันก็สร้างความซับซ้อนในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์

แม้ JKN จะได้ดำเนินการ ขายลิขสิทธิ์การจัดการ Miss Universe Thailand (MUT) ให้กับ MGI (มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล) เพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสดกว่า 180 ล้านบาท ซึ่งเป็นการจัดการทรัพย์สินภายในประเทศที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก แต่รายได้หลักที่สร้างมูลค่ามหาศาลของ MUO ยังคงมาจากโครงสร้างธุรกิจการให้สิทธิ (Licensing and Franchise) ระดับโลก โดยเฉพาะHost Fee ค่าธรรมเนียมการเป็นเจ้าภาพจัดการประกวดระดับโลก ซึ่งเป็นเงินก้อนใหญ่ที่ต้องเจรจาเป็นรายปี
นอกจากนี้ยังมี Franchise Fee ค่าธรรมเนียมที่ผู้จัดในกว่า 80 ประเทศต้องจ่ายเพื่อขอสิทธิ์ในการจัดประกวดระดับประเทศ รวมถึงGlobal Sponsorship & Broadcasting Rights: รายได้จากผู้สนับสนุนระดับโลกและการขายสิทธิ์การถ่ายทอดสด
รายได้เหล่านี้ทำให้ MUO เป็นทรัพย์สินที่ "หล่อเลี้ยงด้วยเงินสด" และมีโครงสร้างที่แข็งแกร่ง ซึ่งหาก JKN ยังสามารถรักษาการถือครองส่วนนี้ไว้ได้ ก็จะเป็นแหล่งรายได้สำคัญในการสนับสนุนแผนการชำระหนี้



มิติความขัดแย้งในการบริหาร MUO

ก่อนหน้านี้ JKN ที่เคยชี้แจงว่า Legacy Holding Group (LHG) เป็น พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ที่แข็งแกร่ง มีเครือข่ายธุรกิจระดับโลกใน 5 ภูมิภาค และจะนำประสบการณ์มาช่วยต่อยอดธุรกิจ MUO แต่กุญแจสำคัญ คือ การควบคุมอำนาจในการบริหารจัดการ และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ของ MUO เนื่องจาก JKN ถือหุ้น 50% ร่วมกับ LHG ดังนั้น หาก JKN เข้าสู่ภาวะอ่อนแอทางการเงิน LHG อาจใช้เงื่อนไขของสัญญาหรืออำนาจการต่อรองเพื่อ เข้าควบคุมการดำเนินงาน หรือ บีบให้ JKN ขายส่วนที่เหลือ




ความเสี่ยงจากการถูก"ลดมูลค่า"

ต้องยอมรับว่า JKN อยู่ในภาวะฟื้นฟูกิจการและต้องการเงินสดอย่างยิ่งยวด ทำให้ MUO จึงตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มทุนหลายกลุ่ม โดยเฉพาะหุ้นส่วน 50% อย่าง LHG ที่อาจใช้กลยุทธ์กดดันให้มูลค่าของลิขสิทธิ์ลดลง เช่นการสร้างความไม่แน่นอน , การชะลอการตัดสินใจร่วมลงทุน หรือการให้ข้อมูลที่สร้างความไม่มั่นคงต่อการบริหารองค์กร Miss Universe โดย JKN จนอาจส่งผลกระทบต่อ ราคาของแบรนด์ (Brand Value) และความเชื่อมั่นของสปอนเซอร์

และหากเกิดขึ้น อาจทำให้การประเมินมูลค่าทรัพย์สินโดย Grant Thornton มีตัวเลขที่ต่ำลง หรือเลวร้ายที่สุดเมื่อ JKN ถูกบีบให้ต้องขายส่วนแบ่ง 50% ที่เหลือออกไปเพื่อสร้างกระแสเงินสด และกลุ่มทุนเหล่านั้นสามารถเข้าซื้อลิขสิทธิ์ MUO ได้ในราคาที่ถูกลงกว่ามูลค่าที่แท้จริง ถือเป็นการโจมตีเชิงยุทธศาสตร์ที่อาจนำไปสู่การสูญเสียทรัพย์สินที่ทำเงินที่สุดของ JKN

  E-Commerceความหวังที่เปราะบาง




ธุรกิจถัดมาธุรกิจ E-Commerce ถูกวางไว้เป็น "ความหวังสุดท้าย" ในการสร้าง กระแสเงินสด (Cash Flow) และกำไรที่มีอัตรากำไรสูง เพื่อช่วยให้ JKN มีเงินทุนหมุนเวียน ในการดำเนินงานภายใต้แผนฟื้นฟู สินค้าหลักในกลุ่มนี้คือผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามที่เชื่อมโยงกับแบรนด์ Miss Universe และแบรนด์ส่วนตัว

จุดแข็งของธุรกิจ E-Commerce คือความสามารถในการใช้ พลังของแบรนด์ MUO ในการทำการตลาดและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผลิตภัณฑ์ แต่ความสำเร็จนี้คือความเปราะบางเช่นกัน นั่นเพราะหาก JKN ไม่สามารถรักษาการถือครอง MUO ไว้ได้ และต้องขายส่วนแบ่ง 50% ออกไป สิทธิ์ในการใช้แบรนด์ MUO จะถูกยกเลิกหรือถูกจำกัดไปด้วย ทำให้ธุรกิจ E-Commerce กลายเป็นเพียงบริษัทขายสินค้าทั่วไปที่ไม่มีจุดขายระดับโลก และต้องแข่งขันอย่างดุเดือดกับคู่แข่งในตลาด แม้ E-Commerce จะมีอัตรากำไรสูง แต่อาจไม่เพียงพอต่อการกอบกู้ JKN


 วิกฤตเงินทุนหมุนเวียน

นอกจากนี้ปัญหาการ ไม่นำส่งงบการเงินปี 2567 ของ JKN อาจสร้างผลกระทบต่อธุรกิจ E-Commerce โดยตรง เพราะมันส่งผลให้เกิด วิกฤตความเชื่อมั่น ต่อซัพพลายเออร์และสถาบันการเงิน นำไปสู่ข้อจำกัดด้านเครดิต เมื่อผู้ผลิตและซัพพลายเออร์ไม่กล้าให้เครดิตการค้าหรือผลิตสินค้าล็อตใหญ่ให้ JKN เนื่องจากไม่สามารถประเมินฐานะทางการเงินที่แท้จริงได้ อาจส่งผลให้ สินค้าขาดตลาด และ ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
ไม่เพียงเท่านี้ อาจเกิดปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน สำหรับการสต็อกสินค้าทำได้ยากขึ้น จนอาจบั่นทอนศักยภาพในการขยายตัวของธุรกิจ E-Commerce


 จับตาแผนฟื้นฟู Grant Thornton

ประเด็นที่มีความอ่อนไหวและสำคัญที่สุดในการฟื้นฟูคือการจัดการกับภาระหนี้สิน โดยเฉพาะ หุ้นกู้ ซึ่งเป็นหนี้สินก้อนใหญ่ของ JKN (เคยมีมูลค่ารวมกว่า 3,200 ล้านบาท ไม่รวมหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุนอีก 1,000 ล้านบาท) ถือเป็นความท้าทายในการชำระหนี้ เพราะแผนฟื้นฟูในอดีตของ JKN เคยเสนอแนวทาง คืนเงินต้น 100% ภายใน 5 ปี พร้อมดอกเบี้ย 1.70% ต่อปี ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ผู้ถือหุ้นกู้คาดหวัง แต่การเข้ามาของ Grant Thornton ในฐานะผู้บริหารแผนฯ มีอำนาจเต็มในการปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ทั้งหมด เพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัท

นั่นทำให้การจัดทำแผนใหม่จะกำหนดว่าผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับชำระหนี้ในรูปแบบใด ซึ่งอาจรวมถึงการ ขยายระยะเวลาชำระหนี้ (Debt Extension) ที่ยาวนานกว่าเดิม การถูก ลดมูลหนี้ (Haircut) หรือแม้กระทั่งการ แปลงหนี้เป็นทุน (Debt-to-Equity Conversion) เพื่อลดภาระดอกเบี้ยและหนี้สิน ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ถือหุ้นกู้จะใช้ในการตัดสินใจ ลงมติยอมรับแผน ฟื้นฟู
โดย ล่าสุด ศาลล้มละลายกลางได้กำหนดการพิจารณาเพื่อมีคำสั่งแต่งตั้งผู้ทำแผนคนใหม่เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 ทำให้ผู้ทำแผนคนใหม่จะมีระยะเวลาในการทำแผนเพื่อนำส่งต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งดังกล่าว โดยศาลฯ อาจขยายระยะเวลาให้อีกได้ไม่เกิน 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 15 วัน

ดังนั้น ณ เวลานี้ Grant Thornton กำลังอยู่ในช่วงของการรวบรวมข้อมูล, ตรวจสอบสถานะทางการเงิน, ประเมินทรัพย์สิน, และกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจ (รวมถึงการจัดการกับ MUO และธุรกิจ E-Commerce) เพื่อจัดทำร่างแผนฟื้นฟูที่สมบูรณ์และเป็นที่ยอมรับของเจ้าหนี้และศาลฯ ซึ่งเป็นกำหนดเวลาที่สำคัญที่นักลงทุนต้องติดตาม
 


สองทางแยกของJKN

จากข้อมูลข้างต้น ทำให้เริ่มมองเห็นว่าอนาคตของ JKN น่าจะถูกจำกัดอยู่ในสองแนวทาง ที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในด้านผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เริ่มที่แนวทางแรกการพลิกฟื้นธุรกิจให้สำเร็จ ถือเป็นแนวทางที่ผู้บริหารแผนฯ ต้องต่อสู้เพื่อพลิกฟื้นธุรกิจเดิม โดยต้องสามารถรักษา MUO 50% ไว้ได้ และสร้างกระแสเงินสดจาก E-Commerce ให้เพียงพอต่อการชำระหนี้ทั้งหมดได้ตามแผน ซึ่งเป็นแนวทางที่ยากและเปราะบางมาก แต่หากทำได้สำเร็จ เจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้ครบถ้วน และผู้ถือหุ้นรายย่อย (73.27% ของหุ้นทั้งหมด) มีโอกาสเห็นการฟื้นตัวของราคาหุ้น

 การล้มเหลวและการเข้าครอบครอง


อย่างไรก็ตามอีกทางแยกหนึ่งของอนาคต JKN ที่มีความเป็นไปได้เช่นกัน คือ และเริ่มมีบางส่วนมองว่าเป็นไปได้สูงนั่นคือแนวทางที่แผนฟื้นฟูกิจการอาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาการไม่ส่งงบการเงิน และไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ทันเวลา จนอาจทำให้ศาลสั่งให้ JKN เข้าสู่การล้มละลาย ซึ่งจะนำพาไปสากลไกการถ่ายโอนมูลค่าเริ่มต้นขึ้น
และหากมาถึงจุดนี้ มีความเป็นไปได้ที่อาจการเกิด NewCo โดย กลุ่มเจ้าหนี้หลัก (โดยเฉพาะธนาคารและผู้ถือหุ้นกู้สถาบัน) อาจจัดตั้ง บริษัทใหม่ (NewCo) ขึ้นมาเพื่อเข้าซื้อและรับโอนเฉพาะ ทรัพย์สินที่ยังสร้างรายได้ (MUO 50%, E-Commerce IP, คอนเทนต์ที่ทำเงิน) ในราคาต่ำ

เรื่องดังกล่าวเคยมีตัวอย่างเชิงประวัติศาสตร์ให้เห็นมาแล้ว โดยกลไกนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในต่างประเทศกับ General Motors (GM) และในประเทศไทยกับ บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ( TPI) หรือปัจจุบัน คือ ริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC) ซึ่งบริษัทใหม่ที่รับโอนทรัพย์สินดีไปบริหารต่อจะ ปลอดจากภาระหนี้สินเดิม ทำให้สามารถกลับมาทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว

หากผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนั้น กลุ่มเจ้าหนี้ จะเป็นผู้ที่สามารถกอบกู้มูลค่าทางเศรษฐกิจของธุรกิจนี้ไว้ได้มากที่สุด โดยได้กรรมสิทธิ์ในธุรกิจที่ทำกำไรต่อเนื่อง ขณะที่ ผู้ถือหุ้นรายย่อยของ JKN เดิม (OldCo) จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด หากหุ้นถูกเพิกถอน และมูลค่าการลงทุนเหลือแค่ศูนย์

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างที่เกี่ยวข้อกับอนาคตของ JKN ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการเข้ามาแก้ปัญหาของผู้บริหารแผนฟื้นฟูอย่าง Grant Thornton ซึ่งเชื่อว่าจะมีการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทออกมาอย่างต่อเนื่องในอนาคต และด้วยประสบการณ์ระดับโลกของผู้บริหารแผนฟื้นฟู ทำให้หลายต่อหลายคนคาดหวังว่า JKN จะกลับมาผงาดในตลาดหุ้นอีกครั้ง จนสร้างความอุ่นใจให้กับผู้ถือหุ้นรายย่อย ผู้ถือหุ้นกู้ และเจ้าหนี้ รวมถึงความคาดหวังที่อนาคตของ JKN จะไม่เลือกเดินไปอีกในเส้นทางหนึ่ง


กำลังโหลดความคิดเห็น