การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงมาต่อเนื่อง ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมตลาด ’ที่อยู่อาศัย’ เนื่องจากความสามารถในการซื้อของประชาชนลดลง อันเป็นสืบเนื่องมาจากปัญหาหนี้ครัวเรือน สถาบันการเงินมีความกังวลในการอนุมัติสินเชื่อที่อยู่อาศัย เนื่องจากอาจทำให้ในระยะข้างหน้า สินเชื่อที่อยู่อาศัยอาจจะถูกจัดชั้นหนี้เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ตัวเลขการถูกปฏิเสธสินเชื่อยังอยู่ในระดับที่สูงไม่ต่ำกว่า 60-70% ประกอบกับลูกค้า ขาดความเชื่อมั่น ไม่มั่นใจเรื่องของความมั่นคงในหน้าที่การงาน มีการยกเลิกที่ยื่นของสินเชื่อกับสถาบันการเงิน ยิ่งกดดันให้ ผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ต้องปรับกลยุทธ์ในเรื่องการขาย แม้จะมีต้นทุนสูงขึ้น กำไรที่ลดลง จากการขายซ้ำห้องชุด หรือ บ้าน ในโครงการที่มีอยู่ เพื่อเร่งระบายสต๊อก ลดภาระดอกเบี้ยจากสินเชื่อโครงการ และเพิ่มอันดับความน่าเชื่อในมุมมองของสถาบันการเงิน และนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ล่าสุด บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทยอยโชว์ตัวเลขผลประกอบการในงวด 9 เดือนออกมา แม้จะยังไม่ครบทั้งหมด แต่สะท้อนภาวะตลาดอสังหาฯที่ยังคง ‘ซบเซา’ ทั้งในเรื่องยอดขาย รายได้ที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ส่งผลให้ รวม 3 ไตรมาส เปอร์เซ็นต์กำไรเข้าสู่บริษัท เทียบงวดเดียวกันของปี 2567 ลดลง หลายบริษัท จำเป็นที่ต้องเร่งหาสภาพคล่องในการรองรับการชำระหุ้นกู้ที่จะทยอยครบกำหนด หรือบางแห่ง ต้องเลือกปรับผลตอบแทนเพิ่มขึ้น เพื่อจูงใจนักลงทุนในการขอเลื่อนหุ้นกู้ครบดีลออกไป !
คอนโดฯพร้อมอยู่ เร่งโอนฯหนุนรายได้
LHขึ้นโครงการน้อย แต่งวด 9 ด.กำไรดี
นายวิทย์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด กล่าวว่า ในไตรมาส 3 และ งวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิ (ส่วนนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทฯ) จำนวน 786.1 ล้านบาท และ 2,999.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.1% และ หรือ 137 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 3.5 % หรือ 101.4 ล้านบาท ตามลำดับ แม้ว่า ตัวเลขรายได้จาการขายและ ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมในไตรมาส 3 และ งวด 9 เดือนจะปรับลดลงก็ตาม สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ เช่น ค่าใช้จ่ายในการขายลดลงถึง 89 ล้านบาท หรือแม้แต่ ค่าใช้จ่ายในส่วนงานอสังหาฯ ลดลง 61.6 ล้านบาท เพราะในปีนี้ การเปิดโครงการใหม่น้อยกว่าปีที่ผ่านมา เป็นต้น
นายวิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI บริษัทอสังหาฯชั้นนำของไทย กล่าวว่า แม้ปี 2568 จะเป็นอีกหนึ่งปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายทางเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในภาพรวม โดยแสนสิริยังคงสามารถรักษาเสถียรภาพของผลประกอบการไว้ได้ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ สอดคล้องกับภาพรวมของตลาด โดย 9 เดือนที่ผ่านมา สามารถทำรายได้รวมได้ 23,670 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,029 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการโอนฯโครงการคอนโดฯสร้างเสร็จใหม่ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาถึง 9 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท รวมงวด 9 เดือน สามารถปิดการขายได้รวม 19 โครงการ มูลค่า 21,000 ล้านบาท ประกอบกับการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ
“คาดว่าไตรมาส 4/2568 จะเป็นไตรมาสที่ทำผลงานได้ดี ทั้งในมิติของยอดโอนและยอดรับรู้รายได้ จากแผนการเปิดตัว 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวมสูงถึง 18,000 ล้านบาท มีโครงการพร้อมขายกว่า 135 โครงการ นอกจากนี้ บริษัทมียอดขายสะสมของไตรมาส 4 อยู่ที่ 6,000 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังสามารถทำยอดขายจากงานมหกรรมบ้านและคอนโดล่าสุดทะลุเป้ากว่า 2,300 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าเรียลดีมานด์ ที่มีกำลังซื้อยังคงมีอยู่อย่างแข็งแกร่ง และต่อยอดกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงท้ายปีกับแคมเปญใหญ่ “แสนสิริ อลังเซล” ลดใหญ่ ตัวจริง…แห่งปี ที่มอบส่วนลดสูงสุดถึง 10 ล้านบาท ผ่อนต่ำเริ่มต้นเพียงล้านละ 2,500 บาท แคมเปญนี้จัดถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2568 ส่งผลต่อเนื่องให้มียอดขายพร้อมโอนสูงขึ้นจากปัจจุบันที่มีอยู่ถึง 25,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้ได้ไปจนถึงปี 2571
นายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ ประธานฝ่ายบริหาร บมจ. เอพี ไทยแลนด์ จำกัด เผยผลการดำเนินงาน 9 เดือนของปี 2568 บริษัทฯ มีรายได้รวมจากสินค้ากลุ่มแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ที่สูงถึง 33,368 ล้านบาท และกำไรสุทธิเท่ากับ 3,025 ล้านบาท เฉพาะไตรมาส 3 ปีนี้ มีรายได้รวม (100% JV) 12,428 ล้านบาท เติบโตขึ้น 8.7% จากไตรมาสก่อนหน้า และกำไรสุทธิ 1,155 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 14.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
โดยกลุ่มธุรกิจแนวราบ โครงการที่โดดเด่นและสร้างมูลค่าการโอนสูงสุด ได้แก่ CENTRO บางนา CENTRO เทพารักษ์-ศรีนครินทร์ CENTRO เพชรเกษม-บางแค THE CITY กัลปพฤกษ์ และ THE PALAZZO ปิ่นเกล้า-บรมฯ นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่ดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์เสร็จสิ้นภายในไตรมาสนี้อีก 3 โครงการ ได้แก่ GRANDE PLENO สุขุมวิท-บางนา PLENO สุขุมวิท-บางนา 2 และ PLENO ชัยพฤกษ์
กลุ่มคอนโดฯร่วมทุน (JV) จากยอดรับรู้รายได้ของ 2 คอนโดฯสร้างเสร็จพร้อมอยู่ ได้แก่ ASPIRE สุขุมวิท-พระราม 4 และ ASPIRE อ่อนนุช สเตชั่น รวมถึง โอนฯ ASPIRE อรุณ พรีเว่ ได้เสร็จสิ้น ภายในระยะเวลาเพียงสี่เดือน
สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปี บริษัทฯ มีแผนเปิด 22 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 24,000 ล้านบาทส่งผลให้โค้งสุดท้ายของปีนี้บริษัทฯ จะมีโครงการพร้อมขายทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมากกว่า 217 โครงการ ทั้งนี้ ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายสุทธิ รวมทั้งสิ้น 37,303 ล้านบาท
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เผยว่า งวด 9 เดือนแรก บริษัทฯมีรายได้จากการโอนฯโครงการที่อยู่อาศัยทุกกลุ่ม (รวมโครงการร่วมทุน) กว่า 10,226 ล้านบาท บริษัทฯพัฒนาเอง 4,529 ล้านบาท และโครงการร่วมทุน 5,697 ล้านบาท ส่งผลให้มีรายได้รวม และสามารถทำยอดขายบ้านและคอนโดได้กว่า 19,086 ล้านบาท หนุนให้ยอดขายรอรับรู้รายได้ ณ สิ้นไตรมาส 3/68 รวมอยู่ที่ 40,980 ล้านบาท รับรู้รายได้ถึงปี 4 ปี
ส่วนโครงการที่เปิดขายใหม่ในช่วง 9 เดือนแรก มีจำนวน 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้นกว่า 7,150 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทฯ มีแผนเปิดโครงการใหม่ใน ไตรมาส 4 ปี 2568 อีก 3 โครงการ แบ่งเป็น โครงการบ้านจัดสรร 1 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการ โดยลูกค้าเป้าหมายมีทั้งผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง, กลุ่มนักลงทุน และ รายย่อยที่ให้ความสนใจคอนโดฯเพื่อสร้างผลตอบแทน ขณะที่บ้านจัดสรรได้ดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ “Crafted Expansion”ตอบโจทย์ทุกความหลากหลาย กับ “New Product… New Concept ไม่ว่าจะเป็น The Brilliant, บ้านฉัน และ Britania Home Investment การันตีรายได้ช่วงต้น คุ้มค่าใช้จ่ายในการลงทุน
และออริจิ้น ยังสามารถสร้างผลงานโดดเด่นด้วยการคว้ายอดขายทะลุ 1,100 ล้านบาท จากงานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 48 และยังมีสภาพคล่องเพิ่มอีกกว่า 500 ล้านบาท จากการที่กลุ่มบริษัทฯได้ขายหุ้นโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ ทั้งหมดให้ “ตันบุญ” บริษัทในเครืออิชิตัน สามารถบันทึกกำไรได้ในไตรมาส 4/2568 ทันที
ธุรกิจโรงแรม - รพ. หนุนเติบโต
นายชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ธุรกิจโรงแรม สามารถรายงานรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR) ได้สูงขึ้นทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในประเทศไทย RevPAR เติบโตขึ้นถึง 31% จากไตรมาส 3 ของปี 2567 สู่ระดับ 4,910 บาท โดยแรงขับเคลื่อนหลักยังคงมาจากโรงแรม ทราย ลากูน่า ภูเก็ต ด้วย RevPAR สูงขึ้นกว่า 2 เท่า จากช่วงเวลาเดียวกันจากปีก่อน
ขณะที่กลุ่มธุรกิจอาคารเชิงพาณิชย์ ปัจจุบันยังคงสามารถรักษาระดับอัตราการเช่าเฉลี่ยของสามอาคารหลัก ได้แก่ ในระดับ 80% โดยในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาได้ทยอยปิดการขายแก่ผู้เช่าหลัก คิดเป็นพื้นที่เช่าใหม่ที่สามารถปิดการขายได้กว่า 4,000 ตร.ม. และมีกำหนดทยอยเข้าใช้พื้นที่ตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปีนี้จนถึงต้นปี 2569 และคาดว่าอาคาร สิงห์ คอมเพล็กซ์ จะมีอัตราการเช่ากลับมาที่ระดับ 90% อีกครั้งหนึ่ง
ในส่วนของธุรกิจที่พักอาศัย โครงการ สริน พรานนก-กาญจนา จะสามารถรับรู้รายได้จากการโอนฯ ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 เป็นต้นไป ขณะที่โครงการซึ่งวางแผนจะปิดในปี 2568 ได้แก่ โครงการคอนโด ดิ เอส สุขุมวิท 36 สร้างรายได้กว่า 350 ล้านบาทในปี 2568
ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม บริษัทฯ ได้ขายเพิ่มเติมแก่ บริษัท เพียวสตรอง จำกัด จำนวน 9 ไร่ คาดโอนฯในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้
นางสาวปัทมา ปิยะมณีพร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า 9 เดือนแรก ด้วยอัตราหนี้สินสุทธิต่อทุนเพียง 0.32 เท่า สะท้อนการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ โดยทำอัตรากำไรขั้นต้นระดับสูงเป็น All Time High อยู่ในระดับ Top-Tier Ranking ที่ 35.5% (เพิ่มขึ้นจาก 32.8% ในปีก่อนหน้า) และทำรายได้รวม 10,177 ล้านบาท
บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าภายใต้แนวคิด “Lifetime Well-Living อยู่ดี…ทั้งชีวิต” โดยมีแผนการเปิดตัวบริการแพทย์ประจำครอบครัว เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ภายในไตรมาส 4 ซึ่งให้บริการโดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว และเดินหน้าโครงการ Well Care @Home ร่วมกับโรงพยาบาลวิมุต และโรงพยาบาลวิมุต-เทพาธารินทร์ ที่ให้บริการเข้าถึงมากกว่า 70 โครงการ และกว่า 27,700 ครอบครัว
สำหรับความคืบหน้าการลงทุนโครงการ “โอเมก้า บางนา โลจิสติกส์ แคมปัส” ขนาด 217,000 ตร.ม. ซึ่งเป็นคลังสินค้าอัจฉริยะที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างงานโครงสร้างซึ่งดำเนินการไปมากกว่า 50% แล้ว และคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 2 ปี 2569 และยังคงเดินหน้าลงทุน ภายใต้กองทุน C-WELL (CapitaLand Wellness Fund) เพื่อพัฒนาอสังหาฯด้านสุขภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ขณะเดียวกัน ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ และทำผลงานเชิงรุก เตรียมเปิดตัว “ไอเพลิน” หรือ “iPlern” ซึ่งเป็น Eco Branded Apartment แห่งแรกในไทย
นายธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงธุรกิจอสังหาฯว่า งวด 9 เดือนแรก ทำยอดขายได้ 9,256 ล้านบาท ยอดโอน 7,561 ล้านบาท มีการเปิดโครงการใหม่รวม 11 โครงการ มูลค่า 10,800 ล้านบาท โดยยังมีที่อยู่อาศัยพร้อมขายอีก รวมมูลค่า 66,200 ล้านบาท โดยในไตรมาส 4 มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 6 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 6,700 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งแนวราบและคอนโดฯ
และในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ยังได้จัดแคมเปญส่งเสริมการขายต่อเนื่อง “พฤกษา มหาดีล” มอบข้อเสนอพิเศษ ด้วยเงินจองเริ่มเพียง 499 บาท ส่วนลดบ้านและคอนโดรวม 200 กว่าล้านบาท คาดสร้างรายได้กว่า 3,000 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ได้ทยอยส่งมอบ 4 โครงการคอนโดมิเนียมใหม่ มูลค่ารวมกว่า 9,700 ล้านบาท เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3 และ ไตรมาส 4 ต่อเนื่องไปจนถึงต้นปี 2569
นายแพทย์ นิพัฒน์ กุหลาบขาว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 แข็งแกร่งต่อเนื่อง มีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และมี EBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 64 ล้านบาท จาก 41 ล้านบาทในไตรมาส 2/2568
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในไตรมาส 3 ปี 2568 เริ่มส่งสัญญาณดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สามารถสร้างกำไรสุทธิ 130 ล้านบาท เติบโตขึ้น 380% ความสำเร็จจากการโอนฯโครงการพร้อมเข้าอยู่ใหม่ ได้แก่ โครงการคัลเจอร์ ทองหล่อ และ โครงการคัลเจอร์ จุฬา ซึ่งสามารถสร้างยอดโอนได้ถึง 1,767 ล้านบาท และมียอดขายสะสมรวมของทั้งสองโครงการแล้วกว่า 7,470 หรือ 76% ของมูลค่าโครงการ พร้อมกันนี้ ณ สิ้นไตรมาส 3 ยังมี Backlog รวมมูลค่า 5,703 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการรวม 9,795 ล้านบาท ที่จะทยอยโอนและรับรู้รายได้ต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2568 ไปถึงกลางปี 2569
สำหรับ Inventory ที่พร้อมรองรับการสร้างรายได้ของบริษัทฯ มีมูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 26,211 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้ มี Backlog ที่เป็นยอดขายรอการโอนฯ มูลค่า 7,481 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้เป็นรายได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2568 จนถึงปี 2569
นอกจากนี้ อนันดาฯ ได้มีการเตรียมออกหุ้นกู้ชุดมีหลักประกัน เป็นที่ดินใจกลางภูเก็ตบนทำเลศักยภาพ พื้นที่ประมาณ 251 ไร่ 1 งาน 57.4 ตร.ว. คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินรวมทั้งสิ้นประมาณ 2,344 ล้านบาท จำนวน 2 ชุด อายุ 1 ปี 9 เดือน อัตราดอกเบี้ย [6.90]% ต่อปี และอายุ 2 ปี 3 เดือน อัตราดอกเบี้ย [7.20]% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 3-4 และ 8 ธันวาคม 2568 นี้
ธุรกิจให้เช่าอสังหาฯ ตอบโจทย์ ยุคกำลังซื้อบ้านลดลง
น.ส. อธิกา บุญรอดชู ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดสรรเงินและการลงทุน บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า งวด 9 เดือน บริษัทมียอดขายจากธุรกิจอสังหาฯรวม 13,719 ล้านบาท เป็นยอดขายอสังหาฯเพื่อขาย จำนวน 10,548 ล้านบาท ยอดขายจาก LivNex (เช่าออมบ้าน) จำนวน 3,171 ล้านบาท ในส่วนผลประกอบการ บริษัทมียอดรายได้รวม 3,662 ล้านบาท มีกำไรขั้นต้นจำนวน 1,193 ล้านบาท คิดเป็น 33% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้น 74% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า มีกำไรสุทธิ 438 ล้านบาท คิดเป็น 12% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
โดยความสามารถในการทำกำไรขั้นต้น ในธุรกิจอสังหาฯอยู่ในสัดส่วน GP 32% ของรายได้อสังหาฯ ธุรกิจให้เช่าอสังหาฯ GP 64% ของรายได้ธุรกิจเช่าอสังหาฯ ซึ่งเกิดจากความสามารถของ Livnex และ RentNex ในแต่ละทำเลมีเพดานราคาค่าเช่าในตลาดที่แตกต่างกัน ทำให้กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น
และ อีกธุรกิจที่มีความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นดีขึ้นคือ ธุรกิจให้บริการ GP 43% ของรายได้ธุรกิจให้บริการ จึงทำให้ภาพรวมของกลุ่มบริษัท ทำกำไรขั้นต้นเฉลี่ย 33% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ณ 30 กันยายน 2568 บริษัทมียอดรอรับรู้รายได้ Backlog จำนวน 8,452 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถทยอยรับรู้รายได้ในปี 2568 ประมาณ 4,841 ล้านบาท โดยบริษัทยังมีสินค้าคงเหลือขายอีกจำนวน 39,708 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าว มีสินค้าที่สร้างเสร็จแล้วพร้อมขายแล้วโอนรับรู้รายได้เลย ประมาณ 10,336 ล้านบาท
ทั้งนี้บริษัทฯ เดินหน้ากลยุทธ์ไตรมาสสุดท้ายของปี เปิดตัว 2 โครงการใหม่ ได้แก่ “เสนา พาร์ค แกรนด์ 2 รามอินทรา มูลค่าโครงการ 2,230 ล้านบาท, โครงการคอนโด “โคซี่ ตากสิน – จอมทอง” มูลค่าโครงการ 663 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่า แม้ผลประกอบการของบริษัทอสังหาฯในงวด 9 เดือนสะสม จะออกมาดู ‘ไม่เข้าตากรรมการ’ แต่ตัวเลขส่วนทั้งรายได้ และ กำไรที่ลดลง ใช่ว่า ผู้ประกอบการจะขายที่อยู่อาศัยไม่ได้ เพียงแต่ ตัวเลขอาจจะลดลง.


