xs
xsm
sm
md
lg

AAVไตรมาสสุดท้ายต้องลุ้น หวังไฮซีซันดันผลประกอบการ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ไตรมาสสุดท้าย AAV (ไทยแอร์เอเชีย) ยังต้องลุ้น แม้คุมต้นทุนน้ำมันดี แต่เจอพิษนักท่องเที่ยวชะลอตัว แถมการแข่งขันสูงกดดันราคาตั๋ววูบ หลังผลงาน 9 เดือนกำไรลด 77% พลาดเป้าเดิม แต่ผู้บริหารมั่นใจ Q4 จะพลิกทำกำไร รับดีมานด์ปลายปี

เมื่อเร็วๆนี้ บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) (AAV) ผู้ถือหุ้นใหญ่ในสายการบินไทยแอร์เอเชีย (TAA) รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2568 ว่า บริษัทมีรายได้จากการขายเเละให้บริการรวม 9,276 ล้านบาท ลดลง 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสาเหตุหลักจากจำนวนผู้โดยสารที่ลดลง 3% อีกทั้งราคาค่าโดยสารเฉลี่ยที่ปรับลดลง 12% มาอยู่ที่ 1,633 บาท และเป็นนอกฤดูกาลท่องเที่ยวของอุตสาหกรรมการบิน

ขณะที่ต้นทุนการขายและบริการลดลง 2% จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับประสิทธิภาพในการบริหารและควบคุมต้นทุนที่ดี แม้มีการให้บริการเที่ยวบินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน ทำให้ต้นทุนต่อปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (CASK) ลดลง 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 361 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 875 ล้านบาท โดยหากไม่รวมผลกำไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน บริษัทมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานหลัก 1,238 ล้านบาท ลดลงเทียบกับกำไรจากการดำเนินงานหลัก 57 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจอื่นๆ ได้แก่ ในไตรมาสนี้ สายการบินไทยแอร์เอเชีย ให้บริการเที่ยวบินรวม 5.93 ล้านที่นั่ง เพิ่มขึ้น 9% โดยแบ่งเป็นเที่ยวบินภายในประเทศ 3.90 ล้านที่นั่ง เพิ่มขึ้น19% และเที่ยวบินระหว่างประเทศ 2.03 ล้านที่นั่ง ลดลง 6% มีจำนวนผู้โดยสารรวม 4.73 ล้านคน ลดลง 3% และมีอัตราการขนส่งผู้โดยสาร (load factor) เฉลี่ยที่ 80% ณ สิ้นไตรมาสมีฝูงบินรวม 62 ลำ โดยใช้เครื่องปฏิบัติการบิน 54 ลำ

นั่นทำให้ ผลประกอบการรอบ 9 เดือนของปี 2568 ของ AAV มีรายได้จากการขายและให้บริการ 32,322 ล้านบาท ลดลง 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยให้บริการ 18.24 ล้านที่นั่ง และมีอัตราขนส่งผู้โดยสาร 83% ลดลงจาก 91% ในช่วง 9 เดือนของปี 2567 ซึ่งสะท้อนถึงภาพรวมการท่องเที่ยวที่ชะลอลง ทำให้ EBITDA อยู่ที่ 4,349 ล้านบาท ลดลง 36% แต่ยังคงมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 727 ล้านบาท ลดลง 77% ทั้งนี้ หากไม่รวมกำไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน บริษัทมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานหลัก 785 ล้านบาท ปรับลงจากกำไรจากการดำเนินงานหลัก 1,552 ล้านบาท ที่รายงานในช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ AAV และ TAA กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาสนี้สะท้อนฤดูกาลและภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ แต่บริษัทยังคงบริหารต้นทุนอย่างเข้มงวด พร้อมเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารเส้นทางบินและฝูงบิน เพื่อให้พร้อมรับดีมานด์ที่คาดว่าจะกลับมาแข็งแรงในช่วงปลายปี ทั้งตลาดในประเทศและตลาดระหว่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่นที่ได้รับอานิสงค์ค่าเงินเยนอ่อน รวมถึงอินเดียซึ่งปีนี้มีแนวโน้มที่จำนวนนักท่องเที่ยวจะทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง



“ในไตรมาส 3 เรายังคงทำได้ดีในตลาดในประเทศ ไทยแอร์เอเชียเพิ่มจำนวนที่นั่งที่ให้บริการภายในประเทศ 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพื่อตอบรับความต้องการเดินทางที่ยังมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง โดยระหว่างไตรมาสได้เปิดเส้นทางใหม่ ส่งผลให้ตลาดภายในประเทศโดยรวมมีอัตราการขนส่งผู้โดยสารอยู่ที่ 82% โดยยังคงรักษาส่วนเเบ่งตลาดอยู่ที่ 39%”

สำหรับตลาดระหว่างประเทศ เส้นทางใน CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) และสิทธิเสรีภาพที่ห้า (Fifth-Freedom) ยังได้รับการตอบรับที่ดี โดยเส้นทางที่ได้รับความนิยมสูงคือเส้นทางไทเป–โอกินาวา ในขณะที่ตลาดจีน TAA ได้ปรับลดที่นั่งให้บริการลงในไตรมาสนี้ 38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพื่อให้สอดคล้องกับภาพรวมนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยลดลง และรักษาอัตราการขนส่งผู้โดยสารให้อยู่ในระดับ 80–85% ส่วนตลาดอินเดียยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดย TAA ได้เพิ่มที่นั่ง17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมพัฒนาบริการใหม่ๆ เช่น การจำหน่ายบัตรโดยสารพร้อมน้ำหนักกระเป๋าให้ตรงกับความต้องการของผู้โดยสารอินเดียมากขึ้น


คาดหวังไตรมาส4ฟื้นตัว

อย่างไรก็ตามภาพรวมของไทยในไตรมาส 3 ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยลดลง 13% อยู่ที่ 7.43 ล้านคน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความเชื่อมั่นเเละข่าวความขัดแย้งระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยนักท่องเที่ยวจากจีนยังลดลงสูงถึง 37% อยู่ที่ 1.15 ล้านคน และนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียใต้และยุโรปยังเติบโตดี เพิ่มขึ้น 17% และ 8% ตามลำดับ

นั่นทำให้ บริษัทเชื่อมั่นผลการดำเนินงานจะดีขึ้นในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงที่มีปริมาณการเดินทางสูง โดยเพิ่มโอกาสในการดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผ่านบริการต่อเที่ยวบิน Fly Thru เชื่อมเส้นทางต่างประเทศสู่ปลายทางในประเทศทุกภูมิภาคมากขึ้น นอกจากนี้ได้รับเเรงเสริมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวจากภาครัฐ เช่น โครงการเที่ยวดีมีคืน มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวสิทธิลดหย่อนภาษีจากค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวในประเทศ โครงการคนละครึ่งพลัส กระตุ้นการใช้จ่าย ที่จะช่วยสนับสนุนความต้องการเดินทางภายในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในช่วงไตรมาส 4/68 หลังจากจบเดือนตุลาคม (เดือนแรกของไตรมาส) พบว่าอัตราการโดยสารเติบโตได้ประมาณ 10% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตภายในประเทศ ส่วนผู้โดยสารต่างประเทศ อาจชะลอตัวลงตามนักท่องเที่ยวที่ชะลอตัว

ขณะที่ภาพรวมค่าโดยสาร (Fare) ในช่วงไตรมาส 4/68 เริ่มกลับมาใกล้เคียงช่วงไตรมาส 1/68 รับไฮซีซั่นธุรกิจ โดยคาดว่าจะออกมาเป็นกำไร หลังจากในช่วงไตรมาส 3/68 บริษัทฯ ขาดทุน 874.74 ล้านบาท ซึ่งมองว่าเป็นจุดต่ำสุดปีนี้ นั่นทำให้โดยรวม ผู้บริหาร AAV เชื่อว่าไตรมาส4/68 จะเป็นไตรมาสที่ดีสำหรับปีนี้ และน่าจะมีระดับการทำกำไร Ebitda Margin ดี โดยภาพใหญ่ได้รับแรงหนุนจากไฮซีซั่น และเริ่มเห็นตัวเลขอัตราส่วนบรรทุกผู้โดยสารซึ่งปิดไปแล้วช่วงต.ค. เกิน 80% ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ อีกทั้งมีรายงานว่าช่วงต้นพ.ย. ตัวเลขดังกล่าวยังเกิน 80% เช่นกัน




สำหรับแผนงานในปี 2569 อยู่ระหว่างการพิจารณาแผนงาน แต่เบื้องต้นคาดว่าจะรับเครื่องบินลำใหม่อีก 4 ลำ ในช่วงปลายปี 2569 จากเดิมมี 62 ลำ โดยบริษัทฯ จะพิจารณาให้บริการเส้นทางตามความเหมาะสม ซึ่งคาดว่าปีหน้าจะเห็นภาพธุรกิจโดยรวมสดใสมากขึ้น





ปรับโครงสร้างกลุ่มไม่กระทบ

ส่วนการปรับโครงสร้างของกลุ่มแอร์เอเชียสำนักงานใหญ่ในประเทศมาเลเซีย บริษัทประเมินว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานของไทยแอร์เอเชีย ซึ่งยังคงให้บริการเที่ยวบินและดำเนินธุรกิจในฐานะบริษัทสัญชาติไทยตามปกติ
ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าว เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2568 วงการตลาดทุนไทยได้ให้ความสนใจกับข่าวการทำ คำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Tender Offer) หุ้นของ AAV ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสายการบินไทยแอร์เอเชีย (Thai AirAsia) โดยมีที่มาจาก AirAsia X Berhad (AAX) บริษัทแม่ในประเทศมาเลเซีย




เหตุการณ์ครั้งนี้มีความพิเศษและสร้างความกังวลในตลาด เนื่องจาก AAX ยืนยันว่าไม่มีเจตนาที่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนหรือถือหุ้นใน AAV การทำ Tender Offer ดังกล่าวจึงเป็นไปเพื่อ การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไทย เพียงอย่างเดียว

สาเหตุหลักที่กระตุ้นให้เกิดหน้าที่ในการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ มาจากการ ปรับโครงสร้างธุรกิจการบิน ภายในกลุ่ม Capital A Berhad (เดิมคือ AirAsia Berhad) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ใหญ่ที่สุดของกลุ่มแอร์เอเชีย โดยCapital A Berhad ได้ดำเนินแผนการรวมธุรกิจสายการบินทั้งหมดให้อยู่ภายใต้การบริหารของ AirAsia X Berhad (AAX) ซึ่งเป็นบริษัทที่เน้นสายการบินระยะกลางและระยะยาว

โดยการปรับโครงสร้างนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการถือหุ้น และทำให้อำนาจควบคุมสูงสุดของ AAV เปลี่ยนมือ หรือ เปลี่ยนโครงสร้าง ไปอยู่ภายใต้ AAX ตามนิยามของกฎหมายตลาดทุนไทย

ขณะที่ตามกฎเกณฑ์ของ ก.ล.ต. ไทย เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้ควบคุมในลักษณะที่เข้าข่าย ก็จะต้องทำ Tender Offer เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถือหุ้นรายย่อยในการตัดสินใจขายหุ้นออกไปในราคาที่ยุติธรรม แม้ว่า AAX จะเคยยื่นเรื่องขอ ยกเว้น (Waiver) การทำ Tender Offer ต่อ ก.ล.ต. แต่ คำขอถูกปฏิเสธ ทำให้ AAX ต้องดำเนินการทำ Tender Offer ต่อผู้ถือหุ้น AAV ทุกรายตามกฎหมาย




นั้นทำให้การจะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นนี้ สร้างความกังวลแก่นักลงทุนรายย่อยในตลาดทุนไทย โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง "ราคา" ที่จะเสนอซื้อ ซึ่งอาจจะไม่สูงเท่าที่นักลงทุนบางส่วนคาดหวังหรือสูงกว่าราคาตลาดมากนัก เนื่องจากเป้าหมายหลักของผู้ซื้อคือการทำตามข้อกำหนดทางกฎหมายเท่านั้น


หลายปัจจัยกดดันเป้าหมายเดิม




ทั้งนี้ หากพิจารณาจากเป้าหมายเดิมของ AAV ในปี 2568 ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้รวมไว้ราว 15-18% และจำนวนขนส่งผู้โดยสารทั้งปีที่ 23-24 ล้านคน โดยคาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้น 11-15% และมีแผนเพิ่มฝูงบินรวมเป็น 66 ลำ ณ สิ้นปีนั้น พบว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เป้าหมายที่ AAV วางไว้แต่เดิมไม่น่าจะเป็นไปตามที่เคยประเมินไว้ หลังจากรายได้จากการขายและบริการรวม 9 เดือนอยู่ที่ 32,322 ล้านบาท ลดลง 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่ง ต่ำกว่าเป้าหมายการเติบโตที่ 15-18% อย่างชัดเจน

โดยปัจจัยสำคัญที่ไม่เป็นไปตามเป้า มาจากความต้องการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวและปัญหาความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในประเทศไทย รวมถึงเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หลายครั้งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นในการเดินทางมาประเทศไทย นอกจากนี้อุตสาหกรรมการบินมีการแข่งขันด้านราคาที่สูงในตลาดระหว่างประเทศ ทำให้ รายได้ต่อหน่วย (RASK) ปรับตัวลดลง


 ตั้งแต่ต้นปีราคาลดลงกว่า60%




ภาพรวมราคาหุ้น AAV ณ ปัจจุบันหากพิจารณาเปรียบเทียบกับช่วงต้นปี (2ม.ค.)ที่ระดับ 2.72 บาท/หุ้น พบว่าราคาหุ้นปรับตัวลดลง 1.66 บาท หรือ 61.03% ขณะที่ราคาหุ้น AAV เคลื่อนไหวในทิศทางลงตลอดช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา พบว่ามีช่วงการปรับฐานและดีดกลับสั้น ๆ แต่โดยรวมแล้วมีแรงขายกดดันต่อเนื่องจนราคาเข้าใกล้จุดต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์ (0.95 บาท)
เริ่มที่เดือนกันยายน - กลางเดือนตุลาคม ราคาเริ่มอ่อนตัวลงจากประมาณ 1.38 บาท ในช่วงกลางเดือนกันยายน ลงมาที่ประมาณ 1.24 บาท ณ วันที่ 10 ตุลาคม ขณะที่กลางเดือนตุลาคม - ต้นเดือนพฤศจิกายน มีการแกว่งตัวในกรอบแคบ ๆ และมีแรงซื้อกลับเข้ามาเล็กน้อย โดยราคาอยู่ที่ประมาณ 1.18 - 1.29 บาท

ส่วนกลางเดือนพฤศจิกายน ราคาได้ปรับตัวลงอย่างรุนแรงอีกครั้งจากประมาณ 1.13 บาท (13 พ.ย.) สู่ระดับ 1.06 บาท (14 พ.ย.) ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับราคาต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์ แสดงให้เห็นว่าแม้ว่าผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 2568 จะมีกำไร แต่ผลประกอบการรายไตรมาส (ไตรมาส 3/68) ยังคงได้รับแรงกดดันจากค่าโดยสารเฉลี่ยที่ลดลง และการแข่งขันที่สูง รวมถึงความกังวลต่อการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวโดยรวมยังไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ยังคงชะลอตัว ทำให้ราคาหุ้น AAV ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาอยู่ในทิศทาง "ขาลง" ตามภาพรวมของอุตสาหกรรมการบินที่เผชิญกับปัจจัยลบหลายด้าน ทั้งการแข่งขันและอุปสงค์ที่ยังไม่กลับมาเต็มที่






 ตลาดท่องเที่ยวไม่แน่นอน


บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ ให้คำแนะนำหุ้น AAV ว่า Neutral (เป็นกลาง) โดยราคาเป้าหมาย 1.35 บาท ถือเป็นการปรับลดคำแนะนำลงมาเป็น "Neutral" เนื่องจากผลประกอบการของ AAV ในไตรมาส 3/68 นั้น ขาดทุนหนักถึง 875 ล้านบาท ซึ่งแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ปัจจัยหลักมาจากการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ (โดยเฉพาะจีน) และการแข่งขันด้านราคาที่ยังคงสูง

อย่างไรก็ตาม KGI มองว่าไตรมาส 4/68 จะเป็นช่วงที่ผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นตามฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) แต่เนื่องจากความกังวลในเรื่องผลขาดทุนสะสมที่สูงและความไม่แน่นอนของสถานการณ์ตลาดท่องเที่ยว ทำให้มีการปรับลดราคาเป้าหมายลงและให้น้ำหนักเพียงแค่ "เป็นกลาง" เพื่อรอความชัดเจนของการฟื้นตัวในระยะต่อไป

 Q3ขาดทุนสูงอาจกดดัน




ขณะที่ บล.ดาโอ (DAOL Securities) ให้คำแนะนำ Sell (ขาย) ราคาเป้าหมาย 1.00 บาท โดยมุมมองนี้มาจากความกังวลต่อ ความสามารถในการทำกำไรปกติ (Core Profit) ที่ยังต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัวอย่างเต็มที่ แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบิน (Jet Fuel) ที่เริ่มอ่อนตัวลงบ้าง

แต่ผลกระทบจาก การขาดทุนจากการดำเนินงานหลัก ในไตรมาสที่ 3 ที่สะท้อนถึงอุปสงค์ที่ชะลอตัวและค่าโดยสารเฉลี่ยที่ลดลงนั้นรุนแรงกว่าที่คาดไว้

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังแสดงความกังวลต่อ ความเสี่ยงด้านการเงิน หากการฟื้นตัวล่าช้า และความไม่แน่นอนจากประเด็น Tender Offer ที่อาจส่งผลให้ราคาซื้อต่ำกว่าราคาตลาดที่นักลงทุนบางส่วนคาดหวัง
 


ศักยภาพธุริกจแข็งแกร่ง




ด้าน บล.หยวนต้า (YUANTA Securities) ให้คำแนะนำ Outperform Market โดยมีราคาเป้าหมาย 1.21 บาทโดยมองว่าราคาหุ้นได้ปรับตัวลงมามากจนสะท้อนปัจจัยลบไปเกือบหมดแล้ว จึงให้คำแนะนำเป็น "Outperform Market" แม้จะมีการปรับลดราคาเป้าหมายลงก็ตาม

เนื่องจากมองว่า AAV ยังคงมีความแข็งแกร่งในตลาดการบินภายในประเทศ (Domestic Market) และการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี โดยเฉพาะการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน การคาดการณ์การกลับมาทำกำไรในไตรมาส 4/68 และแผนการขยายเส้นทางบินไปยังอินเดียและอาเซียนถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยพยุงผลประกอบการในระยะถัดไปได้
อย่างไรก็ตาม มุมมองนี้ยังคงต้องพิจารณาอย่างระมัดระวังถึงความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก เช่น การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนที่ไม่เป็นไปตามคาด


กำลังโหลดความคิดเห็น