xs
xsm
sm
md
lg

การบินไทยหนีไม่พ้นวังวนเดิม เมื่อภาครัฐ-การเมืองเข้ามาเอี่ยวบอร์ด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“การบินไทย” ในวันที่ราคาหุ้น landing กลับลงมาใกล้เคียงราคากลับมาเทรดใหม่ เหตุนักลงทุนไม่เชื่อมั่นการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบอร์ด ทั้งการเพิ่มคนของภาครัฐ และการส่งคนใหม่มาจากสายสัมพันธ์เข้าทดแทนคนพ้นวาระ อาจมือไม่ถีงหวั่นบริหารผิดซ้ำซากต้องกลับไปสู่วิกฤตอีกรอบ โดยเฉพาะแผนจัดซื้อเครื่องบินที่ทำไมต้องมีการเมืองเข้ามาเอี่ยว ขณะที่ทางออกที่หลายฝ่ายเชื่อถือ คือบทบาทภาครัฐต้องเป็น “0” *****

หุ้นของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ปรับตัวอยู่ในทิศทางขาลงอย่างรุนแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา (6 – 10 ต.ค.68) จากราคาซื้อขายช่วงต้นสัปดาห์ที่ระดับ 13.00 – 13.10 บาท/หุ้น ลดลงต่อเนื่องจนมาปิดที่ระดับ 10.90 บาท/หุ้นในวันที่ 10 ต.ค.68 หรือลดลง 16.15%

ก่อนหน้านี้ สายการบินไทยแห่งชาติกลับเข้ามาเทรดบนกระดานหลักทัพย์ เมื่อวันที่ 4 ส.ค.68 หลังจากการฟื้นฟูกิจการประสบความสำเร็จ โดยราคาหุ้นวันแรกของการกลับเข้าซื้อขายปิดที่ 10.50 บาท/หุ้น ถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน (ที่ 4.48 บาท/หุ้น) และสูงกว่าราคาปิดสุดท้ายก่อนถูกพักการซื้อขายไปก่อนหน้านี้ (ที่ 3.32 บาท/หุ้น) แสดงถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อการกลับมาของบริษัท
ไม่เพียงเท่านี้ ต่อมาหุ้น THAI ยังได้ขยับขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดที่ระดับ 15.20 บาท/หุ้น ทำให้ภาพรวมจากราคาหุ้นในปัจจุบันที่ระดับ 10.90 บาท/หุ้น พบว่าราคาหุ้นปรับตัวลงไปแล้ว 4.30 บาท หรือ 28.29%

การแทรกแซงสร้างความกังวล

การปรับตัวลดลงอย่างหนักในช่วงกลางถึงปลายสัปดาห์ เกิดจากปัจจัยเฉพาะตัวที่สร้างความกังวลในหมู่นักลงทุน นั่นคือกระแสข่าวการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) โดยมีข่าวแพร่สะพัดว่ากระทรวงการคลัง (ผู้ถือหุ้นใหญ่) เตรียมเสนอชื่อบุคคลเพื่อเข้ามาเป็นกรรมการใหม่จำนวนมากในการประชุมผู้ถือหุ้นที่จะมาถึง

เรื่องดังกล่าว   ทำให้เกิดความกังวลด้านธรรมาภิบาล โดยนักวิเคราะห์และนักลงทุนบางส่วนแสดงความกังวลว่า การปรับเปลี่ยนคณะกรรมการชุดใหม่อาจส่งผลกระทบต่อความเป็นอิสระในการบริหารงานของบริษัท และกระทบต่อทิศทางการฟื้นฟูกิจการที่กำลังดำเนินไปได้ ขณะเดียวกันหุ้น THAI เป็นหุ้นที่มี Free Float (สัดส่วนหุ้นที่ซื้อขายในตลาด)ต่ำ ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นมีความผันผวนสูงมากเมื่อมีข่าวเชิงลบเข้ามา จนนำไปสู่คำแนะนำนักลงทุนให้ “หลีกเลี่ยง” จนกลายเป็นการเพิ่มแรงกดดันเชิงลบต่อราคาหุ้นในตลาด  

ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ครั้งใหญ่มีจุดที่น่าสนใจ คือ การเพิ่มจำนวนกรรมการและการเสนอชื่อใหม่ โดยคณะกรรมการบมจ.การบินไทย (THAI) มีมติอนุมัติให้เพิ่มจำนวนกรรมการจากเดิม 11 คน เป็น 15 คน ด้วยเหตุผลเพื่อความจำเป็นในการจัดตั้งคณะกรรมการชุดย่อยที่สำคัญ และเพื่อสอดคล้องกับขนาดขององค์กรหลังพ้นการฟื้นฟูกิจการ
***นั่นทำให้กระทรวงการคลัง ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ (สัดส่วนร้อยละ 38.90) ได้เสนอรายชื่อบุคคลรวม 10 คน เพื่อเข้าเป็นกรรมการใหม่ โดยจะทดแทนกรรมการที่ต้องพ้นวาระตามกฎหมาย และเข้าดำรงตำแหน่งในส่วนที่เพิ่มขึ้น และมีกระแสข่าวว่ากรรมการจะถูกเสนอชื่อออก ได้แก่ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ และ นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการของการบินไทย ***




เงินของประชาชนต้องดูแล

ส่วนข้อชี้แจงจากกระทรวงการคลัง โดยนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลังและประธานบอร์ด THAI ได้ชี้แจงว่า การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับของบริษัทมหาชน พร้อมยืนยันว่า การบินไทยจะไม่กลับไปเป็นรัฐวิสาหกิจ และกระทรวงการคลังไม่มีแผนซื้อหุ้นเพิ่ม แต่มีความจำเป็นต้องส่งผู้แทนเข้าดูแลผลประโยชน์ของรัฐบาล เนื่องจากรัฐได้ใส่เงินทุนสนับสนุนการฟื้นฟูกิจการไปจำนวนมาก (กว่า 4-5 หมื่นล้านบาท) ซึ่งเป็นเงินของประชาชน และการเพิ่มบอร์ด เนื่องจากต้องการเพิ่ม "มืออาชีพจากภาคเอกชน" เข้ามาเสริมการบริหารงาน


และทันทีที่มีข่าวออกมา ได้สร้างความกังวลอย่างหนักในตลาดหุ้น ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้น THAI อย่างรุนแรงจนลดลงกว่า 10% ภายในวันเดียว นั่นเพราะมีการตั้งคำถามว่าการเปลี่ยนแปลงบอร์ดชุดใหญ่อาจเป็นแผน "ยึดอำนาจ" และเป็นการแทรกแซงการบริหารของรัฐบาล ซึ่งอาจลดความเป็นอิสระในการตัดสินใจของผู้บริหารแผนฟื้นฟู 

นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่าการเปลี่ยนตัวบุคคลสำคัญในบอร์ดอาจส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องและความสำเร็จของแผนฟื้นฟูกิจการที่กำลังจะพ้นจากศาลล้มละลาย เนื่องจากการที่สัดส่วนกรรมการที่เป็นตัวแทนจากภาครัฐมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีอยู่แล้ว จนอาจมีผลต่อความเป็นอิสระในการบริหารงาน (Independence) ลดลง และอาจนำไปสู่การตัดสินใจทางธุรกิจที่อิงกับนโยบายทางการเมืองมากกว่าผลประโยชน์สูงสุดขององค์กร ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่เคยทำให้บริษัทประสบปัญหาจนต้องเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการในอดีต


บอร์ดใหม่เทียบของเดิมไม่ได้

โดยขั้นตอนต่อไป บริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี (AGM) ครั้งที่สองของปี 2568 เพื่อพิจารณาการเลือกตั้งกรรมการชุดใหม่ ซึ่งต้องรอการเปิดเผยวันประชุมและวาระอย่างเป็นทางการต่อไป ส่วนคณะกรรมการสรรหาฯ มีกำหนดประชุมอีกครั้งในช่วงปลายเดือนตุลาคม เพื่อพิจารณารายชื่อทั้งหมด ก่อนนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทต่อไป

ขณะที่นักลงทุนยังกังวลว่า กรรมการชุดใหม่อาจไม่มีความสามารถเทียบเท่าบอร์ดชุดเก่า หรืออาจนำพาบริษัทกลับไปสู่ปัญหาเดิม ๆ อีกครั้ง จึงกลายเป็น ปัจจัยลบ (Negative) ต่อการดำเนินงานของ THAI
อย่างไรก็ตามนักลงทุนส่วนหนึ่งยังรอติดตามรายละเอียดของกรรมการชุดใหม่ที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยหากรายชื่อเป็น "มืออาชีพจากภาคเอกชน" ตามที่ปลัดกระทรวงการคลังชี้แจง น่าจะทำให้ตลาดมีความพอใจ และอาจจะช่วยให้ราคาหุ้นฟื้นตัวจากแรงกดดันได้ในที่สุด


 "นักลงทุนมองว่าปัจจัยการเปลี่ยนบอร์ดนี้เป็นประเด็นที่อ่อนไหวอย่างมาก เนื่องจากความสำเร็จของการฟื้นฟูที่ผ่านมาเกิดจากการดำเนินงานที่เป็นอิสระจากอิทธิพลทางการเมืองเป็นหลัก” 

 ส่องผลดำเนินงานTHAI

สำหรับผลการดำเนินงานของ บมจ. การบินไทย (THAI) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทมีรายได้รวม 187,989 ล้านบาท เติบโตขึ้น 16.7% จากปี 2566 ทำให้มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (EBIT) (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว ) 41,515 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% จากปีก่อน และสูงกว่าที่ประมาณการไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการ
ส่วนไตรมาส 1/68 บริษัทมีรายได้รวม 51,625 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.3% ทำให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 13,661 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 23.3% และมีกำไรสุทธิ 9,839 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 306.1% อัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) 83.3% ใกล้เคียงปีก่อน

ขณะที่ไตรมาส 2/68 บริษัทมีรายได้รวม 44,828 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9% ทำให้มีกำไรจากการดำเนินงาน10,180 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 71.8% และมีกำไรสุทธิ 12,134 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 3,800% โดยมีอัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) 77.0% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 73.2%
ทำให้ภาพรวมครึ่งปีแรก 2568 บริษัทมีรายได้รวม 96,453 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องจนมีกำไรสุทธิ 21,955 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 702%



 ทิศทางในช่วงที่เหลือปี68

ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 3/68 เป็นช่วงฤดูฝน (Low Season) ในไทย แต่มักจะมีการฟื้นตัวของปริมาณนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วงปลายไตรมาส ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า บริษัทจะยังคงสามารถรักษาการทำกำไรจากการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องจากปัจจัยการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินและการบริหารต้นทุนที่ดี
ทำให้คาดว่าการบินไทยยังคงแสดงผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่องในปี 2568 ซึ่งเป็นผลจากอุปสงค์การเดินทางที่ฟื้นตัวและการดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูกิจการอย่างมีวินัย

ส่วนทิศทางในไตรมาส 4/68 ตามการวิเคราะห์ของตลาดและข้อมูลจากการบินไทยเอง คาดว่าจะเป็นไตรมาสที่ผลการดำเนินงานของ การบินไทย (THAI) จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่สุดในรอบปี เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวสูงสุด (High Season) ของประเทศไทย

 จากปัจจัยสนับสนุนคือ ไตรมาส 4 เป็นช่วงที่มีปริมาณการเดินทางสูงสุดของปี เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดยาวและเทศกาลปลายปี ส่งผลให้ความต้องการเดินทาง (Demand) พุ่งสูงขึ้น โดยผู้บริหารของ THAI คาดว่ายอดจองตั๋วโดยสารล่วงหน้า โดยเฉพาะเส้นทางหลักไปยังยุโรป (Long-Haul) และออสเตรเลีย จะมีแนวโน้มเติบโตประมาณ Mid Single Digit (6-8% YoY) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน   ขณะที่อัตราบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) คาดการณ์ว่าจะอยู่ในระดับสูงประมาณ 76% - 82% ซึ่งเป็นระดับที่สามารถทำกำไรได้ดี

นอกจากนี้การบินไทยใช้จุดแข็งในการเชื่อมต่อเที่ยวบิน โดยเน้นการรองรับผู้โดยสารต่อเครื่อง (Transfer/Transit) ซึ่งช่วยรักษาอัตราการจองตั๋วให้เติบโตได้ตามแผน แม้จะมีปัจจัยกดดันด้านการแข่งขันรวมถึง THAI มีการปรับปรุงและรับมอบเครื่องบินใหม่บางส่วน ทำให้มีปริมาณการผลิต (ASK) และความสามารถในการรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้น ทำให้ภายหลังการยกเลิกการฟื้นฟูกิจการและการกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อเดือนสิงหาคม 2568 บริษัทมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงขึ้นมาก

 


ความคาดหวังทางธุรกิจในปี69

ทั้งนี้หลายฝ่ายเชื่อว่าในปี 2569 การบินไทยยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนที่ชัดเจนจากการขยายฝูงบินและการปรับโครงสร้างธุรกิจที่สำเร็จ ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่ากำไรหลัก (Core Profit) ของ THAI จะสูงกว่า 30,000 ล้านบาท สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของโครงสร้างต้นทุนที่ปรับปรุงมาแล้ว

 และปัจจัยสำคัญที่สุดคือแผนการ ทยอยรับมอบเครื่องบินใหม่ Airbus A321 NEO ประมาณ 15 ลำ ในปี 2569 หลังจากรับมอบเครื่องบินใหม่บางส่วนในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 โดยการรับมอบเครื่องบินใหม่เหล่านี้จะส่งผลให้ ปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK - Available Seat Kilometers) ของ THAI ขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 6-8% เมื่อเทียบกับปี 2568 

ไม่เพียงเท่านี้หลังจากประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูกิจการและการล้างขาดทุนสะสมได้แล้ว นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า THAI จะสามารถ พิจารณาจ่ายเงินปันผลได้ตั้งแต่ปี 2568 และต่อเนื่องไปในปี 2569 ซึ่งจะเป็นสัญญาณบวกที่สำคัญสำหรับผู้ถือหุ้น ทำให้โดยสรุป ปี 2569 ถือเป็นช่วง "การเติบโตอย่างก้าวกระโดด" ของการบินไทย เป็นผลมาจากกลยุทธ์การขยายฝูงบินใหม่ที่เริ่มเห็นผลอย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยผลักดันให้รายได้และกำไรเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

 หนี้สินลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ด้านหนี้สินของการบินไทย (THAI) ได้มีการปรับโครงสร้างและลดลงอย่างมีนัยสำคัญภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการที่ประสบความสำเร็จ จากเดิมก่อนเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ การบินไทยมีหนี้สินที่เจ้าหนี้ยื่นขอรับชำระหนี้รวมกว่า 4 แสนล้านบาท แต่ภายหลังการปรับโครงสร้างหนี้ตามแผน ซึ่งรวมถึงการแปลงหนี้เป็นทุน การเจรจาลดหนี้ และการชำระหนี้บางส่วน ส่งผลให้หนี้สินคงค้างที่ต้องชำระตามแผนลดลงอย่างมาก

โดยหนี้สินรวมที่นำมาปรับโครงสร้างหนี้ตามคำขอรับชำระหนี้รวมประมาณ 189,578 ล้านบาท บริษัทได้ทยอยชำระหนี้และดำเนินการแปลงหนี้เป็นทุนไปแล้วเป็นจำนวนมาก ทำให้หนี้คงเหลือที่ต้องทยอยชำระ ตามแผนจนครบในปี 2579 อยู่ที่ประมาณ 95,498 ล้านบาท

ดังนั้นการปรับโครงสร้างหนี้ได้ส่งผลให้ฐานะทางการเงินของการบินไทยพลิกกลับมาแข็งแกร่ง เป็นผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้น กลับมาเป็นบวก (ประมาณ 55,221 ล้านบาท ณ 31 มี.ค. 2568) จากที่เคยติดลบอย่างมาก

 แผนลงทุนที่ต้องติดตาม

ส่วนแผนการลงทุนที่สำคัญของการบินไทย (THAI) มุ่งเน้นไปที่การสร้างความแข็งแกร่งและประสิทธิภาพในระยะยาว โดยมีกรอบการลงทุนระยะ 5 ปี (ปี 2568-2572) ด้วยงบประมาณรวมประมาณ 170,000 ล้านบาท แผนการลงทุนหลักแบ่งออกเป็น 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ 1. การจัดหาและปรับปรุงฝูงบิน (งบลงทุนสูงสุด) ประมาณ 125,000ล้านบาท สำหรับการจัดหาฝูงบินใหม่ และ 20,000 ล้านบาท สำหรับการปรับปรุงฝูงบินปัจจุบัน โดยบริษัทตั้งเป้าเพิ่มจำนวนเครื่องบินเป็น 150 ลำ ภายในปี 2576 และลดแบบเครื่องบินจาก 8 แบบ เหลือเพียง 4 แบบ เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงานและการซ่อมบำรุง
2. การลงทุนด้านดิจิทัลและเทคโนโลยี งบประมาณ 15,000 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ, ปรับปรุงเว็บไซต์และแอปพลิเคชันเพื่อความสะดวกในการใช้งาน, และสร้างโอกาสในการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากช่องทางการขายตรง (Direct Sales)

และ 3.การลงทุนในศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) งบประมาณ 10,000 ล้านบาท สำหรับขยายและพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) โดยเฉพาะที่ สนามบินดอนเมือง และโครงการร่วมทุน/การลงทุนที่ สนามบินอู่ตะเภา เพื่อลดการพึ่งพาภายนอกและสร้างรายได้จากธุรกิจซ่อมบำรุงให้กับสายการบินอื่น ๆ ในภูมิภาค
 โดยแผนการลงทุนนี้แสดงถึงความมุ่งมั่นของการบินไทยในการกลับมาเป็น "Regional Network Airline" ที่แข็งแกร่ง และมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 35% ภายในปี 2572 โดยอาศัยกระแสเงินสดที่มีอยู่และผลประกอบการที่ดีมาสนับสนุนการลงทุนขนาดใหญ่ในอนาคต  

  ซื้อเครื่องบินกับการเมือง


อย่างไรก็ตามประเด็นการซื้อเครื่องบินของการบินไทยในอดีตมักเป็นประเด็นที่มีการกล่าวถึงเรื่อง การแทรกแซงทางการเมือง และความไม่โปร่งใส ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายและการขาดทุนอย่างหนักของบริษัท เพราะในอดีต การจัดซื้อเครื่องบินหลายโครงการของการบินไทยถูกเชื่อมโยงกับปัญหาหลายด้าน

ประเด็นเด็นเหล่านี้   จึงทำให้การบินไทยมีการตัดสินใจที่ไม่เป็นไปตามหลักธุรกิจ เช่น มีการกล่าวถึงการอนุมัติจัดซื้อเครื่องบินบางรุ่น (เช่น Airbus A340-500/600) ในช่วงรัฐบาลก่อนหน้า ซึ่งภายหลังถูกระบุว่าเป็นสาเหตุหนึ่งของการขาดทุนสะสมอย่างมหาศาล เนื่องจากเครื่องบินมีต้นทุนการดำเนินงานสูงและไม่คุ้มค่าทางธุรกิจ 

ประเด็นถัดมาคือ ข้อกล่าวหาเรื่องสินบน/ค่านายหน้า ที่ผ่านมามีการกล่าวหาว่าการจัดซื้อบางโครงการเกี่ยวข้องกับการจ่ายสินบนหรือค่านายหน้า (Commission) ซึ่งทำให้บริษัทต้องจ่ายเงินซื้อเครื่องบินในราคาที่สูงเกินความจำเป็น
และประเด็นสำคัญการแต่งตั้งผู้บริหารและกรรมการ ถือเป็นปัญหาหลักมาจากการที่การเมืองและหน่วยงานรัฐเข้า
มามีบทบาทในการแต่งตั้งคณะกรรมการบริษัทฯ (บอร์ด) และผู้บริหาร ซึ่งบางครั้งไม่ได้พิจารณาจากความรู้ความสามารถ แต่มาจากสายสัมพันธ์ทางการเมือง ทำให้ขาดความคล่องตัวและความเป็นมืออาชีพในการบริหาร




ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจ เมื่อบริษัทกำลังมีแผนลงทุนจัดซื้อฝูงบิน และแม้ว่าบอร์ดจะยืนยันความโปร่งใส แต่ผู้บริหารและอดีตผู้บริหารแผนฟื้นฟูบางรายยัง แสดงความกังวลว่าการเมืองอาจกลับมา "ล้วงลูก" ซ้ำรอยเดิม หากรัฐบาลยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และเข้ามามีบทบาทในการแต่งตั้งคณะกรรมการที่ไม่เหมาะสม

เชื่อมโยงกับมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ที่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูการบินไทย ส่วนใหญ่มองว่าการแทรกแซงทางการเมืองเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การบินไทยประสบปัญหาอย่างหนักในอดีต และเป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดที่อาจทำให้บริษัทกลับไปซ้ำรอยเดิมได้


อีกทั้งการบริหารงานแบบรัฐวิสาหกิจที่อิงระเบียบราชการ และการต้องรอการอนุมัติจากหลายฝ่าย (ที่มักมีการเมืองแทรกซ้อน) ทำให้บริษัทไม่สามารถแข่งขันกับสายการบินอื่นที่ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว

 ข้อเสนอเพื่อป้องกันซ้ำรอย

ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านมองว่าการที่การบินไทยพ้นจากสภาพรัฐวิสาหกิจในปัจจุบันยังไม่เพียงพอที่จะป้องกันการแทรกแซงได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากกระทรวงการคลังและหน่วยงานรัฐยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ (รวมกันเกือบ 50%)
ดังนั้น ข้อเสนอที่แข็งกร้าวที่สุดคือ   รัฐบาลควรลดบทบาทโดยการขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทฯ ออกไปให้หมด เพื่อให้การบินไทยสามารถแข่งขันได้อย่างเต็มที่ภายใต้กลไกตลาดโดยแท้จริง และตัดวงจรการเมืองแทรกแซง 
ขณะที่บอร์ดและผู้บริหารต้องมีอิสระในการตัดสินใจโดยยึดมั่นในหลักธุรกิจและจริยธรรม (Integrity) และรักษาวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นความคล่องตัว (Agility) ที่สร้างขึ้นในช่วงแผนฟื้นฟู

ส่วนคณะกรรมการสรรหาต้องคัดเลือกกรรมการและผู้บริหารจากความสามารถและผลงานทางธุรกิจการบินโดยตรง เพื่อให้มั่นใจว่าการตัดสินใจทั้งหมดเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ

และสุดท้ายข้อกังวลในอนาคตของนักลงทุน นั่นคือความผันผวนของราคาหุ้น โดยในช่วงที่การบินไทยกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดฯ ราคาหุ้นมักถูกขับเคลื่อนด้วยการเก็งกำไร เนื่องจากมีปริมาณหุ้นหมุนเวียน (Free Float) ต่ำมาก (ส่วนใหญ่ถูกล็อกด้วย Silent Period) นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งมองว่าราคาหุ้นอาจสูงเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานไปแล้วเมื่อเทียบกับสายการบินในภูมิภาคเดียวกัน จนเริ่มมีความกังวลว่าเมื่อหุ้นส่วนใหญ่ที่ได้มาจากการแปลงหนี้เป็นทุนพ้นช่วง Silent Period (ช่วงห้ามขายหุ้น) ตามแผนฟื้นฟูฯ อาจเกิด แรงขายทำกำไร ครั้งใหญ่ในตลาด ซึ่งจะกดดันราคาหุ้นในอนาคต


กำลังโหลดความคิดเห็น