นายธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่)(ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวในงานสัมมนา Thailand Economic Outlook - Out of The Trap หัวข้อ Virtual Bank - Financial Thailand ที่จัดโดยเครือกรุงเทพธุรกิจ ว่า เวอร์ชวลแบงก์ถูกสร้างขึ้นมาให้มีความแตกต่างเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่ยังเข้าไม่ถึงบริการหรือเข้าถึงบริการของสถาบันการเงินได้น้อย อันเนื่องมาจากในประเทศไทยมีกลุ่มดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ซึ่งหากมองถึงการเข้าถึงบริการทางการเงินแล้ว โดยหลักๆก็คือเรื่องของสินเชื่อ เพราะหากดูข้อมูลแล้วจะพบว่า 95-97%ของประชากรไทยมีบัญชีธนาคารอยู่แล้ว และธุรกรรมการชำระเงิน 40%ก็อยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์อยู่แล้ว ดังนั้น เวอร์ชวลจึงให้ความสำคัญที่จะเข้ามารองรับในเรื่องการเข้าถึงสินเชื่อด้วย Model การวิเคราะห์ที่แตกต่างเพื่อให้สามารถปล่อยกู้ให้กลุ่มนี้ได้โดยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ขณะที่การเข้าไม่ถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินทำให้คนไทยเป็นหนี้สูงกว่าที่ควรจะเป็น เพราะเข้าไม่ถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงิน เพราะไม่มีเอกสารทางการเงินที่เพียงพอ ไม่มีระบบการวิเคราะห์สินเชื่อที่ดีพอ เป็นต้น
"เวอร์ชวล แบงก์ถูกสร้างมาให้แตกต่าง เราไม่มี Legacy ไม่มีต้นทุนเรื่องสาขาซึ่งมีต้นทุนประมาณ 1 ใน 3 ของต้นทุนแบงก์โดยรวม หรือต้นทุนระบบ Core Banking แต่เราก็มีหน้าที่ที่จะสร้างโมเดลการปล่อยสินเชื่อที่สามารถทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้าระบบเพิ่มขึ้น อย่าง โมเดลที่สถาบันการเงินใช้พิจารณาสินเชื่ออาจจะแบงก์ลูกค้าออกเป็น 5 กลุ่ม แต่โมเดลที่เราสร้างขึ้นมาแบ่งลูกค้าได้ะถึง 20 เซกเตอร์ เพราะเราใช้ข้อมูลหลายๆด้านนอกเหนือจากข้อมูลด้านรายได้ และข้อมูลเครดิต บูโร ซึ่งการวิเคราะห์ข้อมูลละเอียดขึ้น-แตกต่างก็ทำให้ผู้ขอมีโอกาสมากขึ้นด้วย ขณะที่ไซส์ในการปล่อยสินเชื่อก็จะแตกต่างกัน โดยสถาบันการเงินวงเงินในการปล่อยกู้ต่อรายก็จะประมาณ 7,000-10,000 บาท จำนวนลูกค้ารวมต่อแห่ง 2-4 ล้านราย ส่วนเรามองวงเงินปล่อยกู้ 3,000-5,000 บาทต่อราย จำนวนลูกค้ารวมประมาณ 7 ล้านราย ขณะเดียวกัน การพิจารณาสินเชื่อจากใบสมัครที่เข้ามาทรูมันนี่ประมาณ 8 ล้านใบต่อปี เราใช้ 7 คนในการวิเคราะห์เพราะเรา Base on AI แต่สถาบันการเงินจะใช้ประมาณ 500 คน ตรงนี้คือว่าแตกต่างที่เราจะต้องบริหารจัดการความแตกต่างนี้ให้เป็นประโยชน์ "
สำหรับความเสี่ยงของเวอร์ชวลแบงก์นั้น นายธัญญพงศ์กล่าวว่า การที่เรายื่นขอใบอนุญาตเวอร์ชวลแบงก์นั้น ประการแรกมาจากสามารถต่อยอดธุรกิจที่มีอยู่ได้ และประการที่สองก็คือรองรับคนกลุ่มใหญ่ที่ยังเข้าไม่ถึงบริการของสถาบันการเงิน ซึ่งเรามองว่าคุ้มค่ากับความเสี่ยง โดยการศึกษาถึงเวอร์ชวลที่เคยจัดตั้งมาแต่ 90%ไม่ประสบความสำเร็จ ก็จะมาจาก หนึ่งเรื่องการบริหารต้นทุนซึ่งจะสูงในช่วงแรกจากการติดตั้งระบบแต่หากลูกค้าไม่มาก็จบ สอง คุมหนี้เสียไม่ได้ก็จบเช่นกัน ซึ่ง 2 ประเด็นนี้ก็เป็นเรื่องที่เราต้องดูแลเป็นพิเศษเช่นกัน ขณะเดียวกันก็ต้องคุมความเสี่ยงหลักๆ คือ ความเสี่ยงจากหนี้ และความเสี่ยงจากภัยไซเบอร์ให้ได้ด้วย
นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา Chief Digital Platform Business Officer บริษัทเอสซีบี เอกซ์กล่าวว่า เวอร์ชวลแบงก์ตอบโจทย์สังคมไทยในเรื่องของหนี้นอกระบบ ซึ่งจากข้อมูลแล้วพบว่า 40%ของคนไทยเป็นหนี้นอกระบบ ยอดต่อครัวเรือน 54,000 บาทต่อครัวเรือน สะท้อนถึงการเข้าไม่ถึงสินเชื่อของสถาบันการเงิน แต่หากมีเวอร์ชวล แบงก์ Risk-based Pricing ก็จะเกิดจึงสามารถดึงผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบมากขึ้น โดยในส่วนของ SCBX แล้ว เราให้ความสำคัญกับการชำระเงินซึ่งเรามีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว ต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่นได้ต่อไป