ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้ง ที่ 46 เดือน ก.ย.68 ภายใต้หัวข้อ "มุมมองต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยกับคู่แข่งในภูมิภาค" ที่ได้จากผู้บริหาร ส. อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 145 ท่าน ครอบคลุม 47 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด
โดยผู้บริหาร ส.อ.ท.ประเมินว่าขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค ยังอยู่ในระดับปานกลาง ทั้งในด้านต้นทุนการผลิต ความสามารถด้านเทคโนโลยี การเข้าถึงตลาด ผลิตภาพแรงงาน และการจัดการสิ่งแวด ล้อม โดยส่วนใหญ่เห็นว่าไทยมีข้อได้เปรียบจากทำเลที่ตั้งและโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ปัญหากฎหมายที่ล้าสมัย มีความซับซ้อน และการปฏิรูประบบราชการที่ยังไม่จริงจัง ถือเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ฉุดรั้ง ศักยภาพทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้การขยายตัวของ GDP ไทยต่ำกว่าที่ควรจะเป็น โดยในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา GDP ไทยเติบโตเพียง 2.8% ซึ่งนับว่าต่ำที่สุดในอาเซียน
โดยผู้บริหาร ส.อ.ท.มีข้อเสนอให้ภาครัฐเร่งปฏิรูปกฎหมายและกฎระเบียบ พร้อมทั้งพัฒนาระบบราชการให้มีความโปร่งใส คล่องตัว และทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและระบบอัตโนมัติมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการ อนุมัติอนุญาต จะช่วยลดขั้นตอนที่ซับซ้อน ลดต้นทุนเวลาและค่าใช้จ่ายทั้งของรัฐและเอกชน อีกทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ประชาชน ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุน และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศใน ระยะยาว
สำหรับผลสำรวจดังกล่าวมาจากคำถาม ดังนี้
1) เรื่องใดเป็นจุดแข็งของประเทศไทย เมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค
อันดับ 1 : ความได้เปรียบด้านที่ตั้งและความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน 73.8%
อันดับ 2 : ศูนย์กลางการผลิตอาหารและสินค้าเกษตรระดับโลก 40.7%
อันดับ 3 : ห่วงโซ่อุปทานและฐานการผลิตที่ครบวงจร 31.7%
อันดับ 4 : จุดมุ่งหมายด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาค 28.3%
2) เรื่องใดเป็นจุดอ่อนของประเทศไทยที่ทำให้ GDP ขยายตัวต่ำกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค
อันดับ 1 : กฎหมายที่ล้าสมัย ซับซ้อน และขาดการปฏิรูประบบราชการ 91.2%
อันดับ 2 : ความล่าช้าในการดำเนินนโยบายและการลงทุนโครงการพื้นฐานขนาดใหญ่ 51.3%
อันดับ 3 : การพึ่งพาอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่มีมูลค่าไม่สูง 46.9%
อันดับ 4 : การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและปัญหาหนี้ครัวเรือน 43.4%
3) ขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยอยู่ในระดับใดเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค
(รายละเอียดตามรูปประกอบ)
4) ปัจจัยเรื่องใดที่บั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย
อันดับ 1 : การขาดแคลนแรงงานทักษะสูง และการพัฒนากำลังคน 57.2% ที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
อันดับ 2 : การขาดการพัฒนาสินค้าทำให้ได้รับความนิยมลดลง ผลกระทบจาก 45.5% สินค้าทุ่มตลาดและการแข่งขันที่รุนแรงในภูมิภาค
อันดับ 3 : การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ 44.8% รวมทั้งขาดเทคโนโลยีและนวัตกรรม
อันดับ 4 : มาตรการทางการค้าของประเทศมหาอำนาจและผลกระทบจากสงครามการค้า 40.0%
5) ภาครัฐควรเร่งดำเนินการในเรื่องใด เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย
อันดับ 1 : การปฏิรูปกฎหมายกฎระเบียบ และพัฒนาระบบราชการ 66.9% โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการอนุมัติอนุญาตภาครัฐ
อันดับ 2 : การปรับโครงสร้างต้นทุนการผลิตให้สามารถแข่งขันได้ 51.0% เช่น ค่าไฟฟ้า วัตถุดิบ โลจิสติกส์ เป็นต้น
อันดับ 3 : การส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม 42.8% การพัฒนาสินค้าใหม่ๆ รวมทั้งการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
อันดับ 4 : การยกระดับผลิตภาพแรงงานและพัฒนากำลังคนด้วยการ 33.1% Upskill, Reskill, New Skills
6) อุตสาหกรรมเป้าหมายใด (S-Curve) จะเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต
อันดับ 1 : การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ 34.5%
อันดับ 2 : การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 34.5%
อันดับ 3 : การแพทย์ครบ 26.9%
อันดับ 4 : การแปรรูปอาหาร 22.8%
อันดับ 5 : ยานยนต์สมัยใหม่ 20.0%
อันดับ 6 : อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ 18.6%