ส.อ.ท.แนะรัฐเร่งปฏิรูปกฎหมาย ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขัน หลังประเมินขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอยู่ในระดับปานกลาง โดยไทยมีข้อได้เปรียบจากทำเลที่ตั้งและโครงสร้างพื้นฐาน แต่มีกฎหมายที่ล้าสมัย และการปฏิรูประบบราชการที่ยังไม่จริงจังฉุดรั้งศักยภาพทางเศรษฐกิจไทยต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 46 ในเดือนกันยายน 2568 ภายใต้หัวข้อ “มุมมองต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยกับคู่แข่งในภูมิภาค”
จากผลสำรวจพบว่าผู้บริหาร ส.อ.ท.ประเมินว่าขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาคยังอยู่ในระดับปานกลาง ทั้งในด้านต้นทุนการผลิต ความสามารถด้านเทคโนโลยี การเข้าถึงตลาด ผลิตภาพแรงงาน และการจัดการสิ่งแวดล้อม โดยส่วนใหญ่เห็นว่าไทยมีข้อได้เปรียบจากทำเลที่ตั้งและโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปัญหากฎหมายที่ล้าสมัย มีความซับซ้อน และการปฏิรูประบบราชการที่ยังไม่จริงจัง ถือเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ฉุดรั้งศักยภาพทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้การขยายตัวของ GDP ไทยต่ำกว่าที่ควรจะเป็น โดยในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา GDP ไทยเติบโตเพียง 2.8% ซึ่งนับว่าต่ำที่สุดในอาเซียน
ทั้งนี้ ส.อ.ท.เสนอให้ภาครัฐเร่งปฏิรูปกฎหมายและกฎระเบียบ พร้อมทั้งพัฒนาระบบราชการให้มีความโปร่งใส คล่องตัว และทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและระบบอัตโนมัติมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการอนุมัติอนุญาต จะช่วยลดขั้นตอนที่ซับซ้อน ลดต้นทุนเวลาและค่าใช้จ่ายทั้งของรัฐและเอกชน อีกทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุน และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) ครอบคลุม 47 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด สามารถสรุปผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 46 จาก 6 คำถามได้ดังนี้
1. เรื่องใดเป็นจุดแข็งของประเทศไทย เมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค
อันดับ 1 : ความได้เปรียบด้านที่ตั้งและความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน 73.8%
อันดับ 2 : ศูนย์กลางการผลิตอาหารและสินค้าเกษตรระดับโลก 40.7%
อันดับ 3 : ห่วงโซ่อุปทานและฐานการผลิตที่ครบวงจร 31.7%
อันดับ 4 : จุดมุ่งหมายด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาค 28.3%
2. เรื่องใดเป็นจุดอ่อนของประเทศไทยที่ทำให้ GDP ขยายตัวต่ำกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค
อันดับ 1 : กฎหมายที่ล้าสมัย ซับซ้อน และขาดการปฏิรูประบบราชการ 91.2%
อันดับ 2 : ความล่าช้าในการดำเนินนโยบายและการลงทุนโครงการพื้นฐานขนาดใหญ่ 51.3%
อันดับ 3 : การพึ่งพาอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่มีมูลค่าไม่สูง 46.9%
อันดับ 4 : การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและปัญหาหนี้ครัวเรือน 43.4%
3) ขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยอยู่ในระดับใดเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค
(รายละเอียดรูปประกอบตามไฟล์แนบ)
4) ปัจจัยเรื่องใดที่บั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย
อันดับ 1 : การขาดแคลนแรงงานทักษะสูง และการพัฒนากำลังคนที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด 57.2%
อันดับ 2 : การขาดการพัฒนาสินค้าทำให้ได้รับความนิยมลดลง ผลกระทบจากสินค้าทุ่มตลาดและการแข่งขันที่รุนแรงในภูมิภาค 45.5%
อันดับ 3 : การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจรวมทั้งขาดเทคโนโลยีและนวัตกรรม 44.8%
อันดับ 4 : มาตรการทางการค้าของประเทศมหาอำนาจและผลกระทบจากสงครามการค้า 40.0%
5) ภาครัฐควรเร่งดำเนินการในเรื่องใด เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย
อันดับ 1 : การปฏิรูปกฎหมายกฎระเบียบ และพัฒนาระบบราชการ โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการอนุมัติอนุญาตภาครัฐ 66.9%
อันดับ 2 : การปรับโครงสร้างต้นทุนการผลิตให้สามารถแข่งขันได้เช่น ค่าไฟฟ้า วัตถุดิบ โลจิสติกส์ เป็นต้น 51.0%
อันดับ 3 : การส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนาสินค้าใหม่ๆ รวมทั้งการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 42.8%
อันดับ 4 : การยกระดับผลิตภาพแรงงานและพัฒนากำลังคนด้วยการ Upskill, Reskill, New Skills 33.1%
6) อุตสาหกรรมเป้าหมายใด (S-Curve) จะเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต
อันดับ 1 : การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ 34.5%
อันดับ 2 : การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 34.5%
อันดับ 3 : การแพทย์ครบวงจร 26.9%
อันดับ 4 : การแปรรูปอาหาร 22.8%
อันดับ 5 : ยานยนต์สมัยใหม่ 20.0%
อันดับ 6 : อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ 18.6%