xs
xsm
sm
md
lg

บางจาก..ยักษ์ตื่นธุรกิจแกร่ง!? เหตุกลุ่มทุนเปิดวอร์ชิงหุ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการรายวัน360 – “บางจาก”เวลานีัเหมือนยักษ์ใหญ่พลังงานที่ตื่นจากหลับไหล ธุรกิจแกร่ง!? จนเป็นที่มาของกลุ่มทุนเข้าครอบครองหุ้น..แต่แม้จะมีโครงสร้างผู้ถือใหญ่ใหม่แต่ก็ไม่แน่ว่าสงครามแย่งชิงจะจบ? เพราะ เกมถูกลากเข้าไปในสภา-โยงการเมืองเรียบร้อย

ตอนนี้หลายสายตากำลังจับจ้องมาที่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP) จากที่เคยเป็นบริษัทในเครือ “ปตท.” (ถือหุ้นใหญ่อันดับ1.ในบางจาก 27.22%) ด้วยเป้าหมายเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมเชื่อมต่อห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Integration) ให้ “ปตท.”สามารถควบคุมการผลิตและการจัดจำหน่าย ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

อยู่ดีๆ ในช่วงเวลานั้นก็มีการกล่าวอ้างถึงข้อกังวลเรื่องการผูกขาดตลาด(Monopolisation) และ “ปตท.” ได้ตัดสินใจขายหุ้น BCP ทั้งหมดออกไปในช่วงปี 2558-2559 โดยผู้เล่นหน้าใหม่ที่เข้ามาแทนคือ กองทุนรวม วายุภักษ์หนึ่ง (ถือประมาณ 19.84%) และ สำนักงานประกันสังคม (ถือประมาณ 15.11%) ทำให้โดยรวมเหมือนจะดูดี ไม่แตกต่างอะไรจากเดิม เพราะยังมียานแม่ลำเดียวกันนั่นคือ “กระทรวงการคลัง” อีกทั้งยังช่วยให้ BCP มีอิสระเพิ่มขึ้นใน การดำเนินธุรกิจ ไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้ร่มเงาของ “ปตท. ต่อไป

ขณะที่ผลประกอบการ BCP ย้อนหลัง 3 ปี พบว่ากำไรสุทธิของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ เริ่มที่ปี 2564 บริษัทมีรายได้ 2 แสนล้านบาท มีกำไรสุทธิ 7.62 พันล้านบาท ต่อมาปี 2565 มีรายได้ 3.14 แสนล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1.25 หมื่นล้านบาท ขณะที่ปั 2566 บริษัทมีรายได้รวม 3.96 แสนล้านบาท และมีกำไรสุทธิสูงสุดถึง 1.32 หมื่นล้านบาท แต่ปี 2567 บริษัทมีรายได้

รวมสูงถึง 5.94 แสนล้านบาท แต่กลับมีกำไรสุทธิเพียง 2.18 พันล้านบาท ขณะที่ครึ่งแรกปี 2568 มีรายได้รวมแล้ว 2.63 แสนล้านบาท แต่กลับมีผลขาดทุนสุทธิครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่ระดับ 444.80 ล้านบาท
 
จากปั๊มธรรมดา สู่ "ยักษ์ใหญ่”
ถ้ามองผิวเผิน บางจากฯ (BCP) อาจดูเหมือนปั๊มน้ำมันทั่วไป แต่ถ้าเรามองลึกลงไปใน "เส้นทางการเคลื่อนไหว" ของบริษัท จะพบว่าการก้าวขึ้นเป็นบริษัทพลังงานอันดับ 2 ของประเทศ ไม่ได้มา

จากการขายน้ำมันที่ปั๊มเท่านั้น แต่มาจาก "การตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์" และ "กลยุทธ์การแตกตัว" ที่เฉียบคม โดยเริ่มที่
1. การเติบโตแบบ "พุ่งทะยาน" ด้วยการซื้อกิจการ Esso (ประเทศไทย) ในปี 2566 โดยโรงกลั่น รวมถึงสถานีบริการของ ESSO ทำให้ BCP ได้รับสินทรัพย์สำคัญเข้ามารับรู้ทันที ทั้งโรงกลั่นน้ำมันศรีราชา, เครือข่ายคลังน้ำมัน, และสถานีบริการกว่า 800 แห่งและจากการซื้อกิจกาจ ESSO

ทำให้ กำลังการกลั่นน้ำมันรวม ของบางจากฯ พุ่งสูงขึ้นเป็นประมาณ 300,000 บาร์เรลต่อวัน และ ส่วนแบ่งตลาดน้ำมันขายปลีก (ยอดขาย) เพิ่มขึ้นประมาณ 30% ขึ้นแท่นเป็น อันดับ 2 ของประเทศ นอกจากนี้ยังสามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม (Synergy) จากการบริหารจัดการโรงกลั่นทั้งสองแห่งร่วมกัน รวมถึงการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดหาวัตถุดิบ ซึ่งสร้าง "มูลค่า" ให้บริษัทเกินกว่าราคาซื้อขายที่จ่ายไป

2. การแตกตัวสู่ 5 ธุรกิจเพื่อ "ความยั่งยืน" (Diversification &

Greenovation) แม้จะมีราคาหุ้นไม่สูงนักเมื่อเทียบกับคู่แข่ง แต่ BCP ได้สร้างมูลค่าให้ตนเองด้วยการ "แตกตัว" ออกจากธุรกิจน้ำมันเดิม ไปสู่ธุรกิจใหม่ ๆ ที่สอดรับกับเทรนด์โลก (Green Energy) มานานแล้ว

โดยเริ่มที่ กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน ดำเนินการผ่านโรงกลั่น 2 แห่ง (โรงกลั่นบางจาก พระโขนง และ โรงกลั่นบางจาก ศรีราชา) รวมถึงธุรกิจการค้าน้ำมันระหว่างประเทศ (BCPT) และธุรกิจขนส่งน้ำมันและโลจิสติกส์

ถัดมาคือ กลุ่มธุรกิจการตลาด จำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมผ่านเครือข่ายสถานีบริการแบรนด์ "บางจาก" รวมถึงธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (Non-Oil) เช่น ร้านกาแฟ อินทนิล (Inthanin), ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น, และจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Stations)

อีกกลุ่มที่น่าสนใจ คือกลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้าสีเขียว ดำเนินการผ่าน BCPGผลิตไฟฟ้าจาก

พลังงานสะอาดหลายประเภท ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ , พลังงานลม , พลังงานน้ำ และพลังงานก๊าซธรรมชาติ

นอกจากนี้ยังมี กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ดำเนินการโดย BBGI ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชีวภาพ เช่น เชื้อเพลิงชีวภาพ (ไบโอดีเซล B100 และเอทานอล) รวมถึงผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม รวมถึงยังมีบริษัทที่ผลิต น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel - SAF) จากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วเป็นรายแรกในประเทศ

ท้ายสุด กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาธุรกิจใหม่ โดยลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในต่างประเทศ ผ่าน OKEA ASA ในนอร์เวย์ และลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมและทรัพยากรใหม่ ๆ เช่น ธุรกิจเหมืองแร่ลิเทียมไม่เพียงเท่านี้ BCP ยังมี สถาบันนวัตกรรมและบ่มเพาะธุรกิจ(Bangchak Initiative and Innovation Center - BiiC) ที่เน้นการค้นหาและลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

นั่นทำให้ BCP ไม่ได้เป็นเพียงบริษัทปั๊มน้ำมันราคาถูกอีกต่อไป แต่เป็น "องค์กรพลังงานที่มีโครงสร้างแบบกระจายตัว" ที่มีทั้งธุรกิจน้ำมันขนาดใหญ่ (จากดีล Esso) และธุรกิจสีเขียวที่มีศักยภาพการเติบโตสูง (BCPG,

BBGI) การเติบโตนี้มาจาก "การทำสิ่งที่คู่แข่งไม่ทำ" คือการกล้าเปลี่ยนผ่านและลงทุนในนวัตกรรมพลังงานสะอาดก่อนใคร จึงกลายเป็นที่หมายปองของกลุ่มทุนใหญ่ ๆ ที่มองเห็น "มูลค่าที่ซ่อนอยู่" ในโครงสร้างธุรกิจที่หลากหลายและยืดหยุ่นของ BCP

อุปมาก็เหมือน"ยักษ์ใหญ่"ที่หลับไหลกำลังตื่นขึ้นมา
 
เปลี่ยนแปลงอีกในรอบ10ปี
อย่างไรก็ตามเมื่อผ่านการเปลี่ยนถ่ายผู้ถือหุ้นใหญ่ในครั้ง“ปตท.”ล่วงเลยมาร่วม 10 ปี ตอนนี้ดูเหมือน BCP อาจมีการปรับเปลี่ยยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่อีกครั้ง โดยแรกเริ่มในแวดวงตลาดหุ้นก็งงว่า ไม่รู้ BCP ไปทำอะไรไม่โดนใจ สำนักงานประกันสังคม จึงมีการนำหุ้นBCP มาทยอยขาย และทยอยซื้ออยู่หลายครั้ง จนเริ่มมีข่าวลือว่า สปส.มีแผนจะปล่อยมือจาก BCP ทำให้กองทุนสปส.ต้องออกมาชี้แจงว่าเป็นไปตามนโยบายลงทุนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ และให้ผลตอบแทนที่เหมาะสม (มีรายงานว่ามีการเฉือนขาย0.01-0.2% ในแต่ละครั้ง)

แต่ในที่สุด ผู้ถือหุ้นใหญ่กลุ่มใหม่ของ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) ก็ได้ฤกษ์เปิดตัว เมื่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยแบบรายงานการได้มาหุ้น BCP ของ บริษัท อัลฟ่า ชาร์เตอร์ด เอนเนอร์จี จำกัด เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 68 ในสัดส่วน 6.1335% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ โดยจำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มา คิดเป็น 20.0083% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้เป็นผู้ถือหุ้นอันดับหนึ่งของ BCP ในปัจจุบัน (ข้อมูลผุ้ถือหุ้นใหญ่BCPของ Set.or.thอัพเดทไว้ที่ 14 มี.ค.2568)

ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากใครดูข้อมูลจาก Set.or.th ที่ไม่อัพเดทแล้วจะงงว่าตกลงแล้ว สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ตกลงยังถือหุ้นใหญ่ใน BCP หรือไม่? ก็ในเมื่อข้อมูลจากผู้ควบคุมนั้นไม่สัมพันธ์กันสิ่งนี้ ถูกการันตีจาก “ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) แล้วเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568

"เรา... เรามี การแจ้งออกไปแล้วนะครับ ก็คือ หนึ่ง วันนี้ บางจากเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะฉะนั้น การที่คนจะมาซื้อขายหุ้นเพราะเราเป็นบริษัทที่จดทะเบียนนะครับ เราก็ ถ้าการซื้อขายนั้นเป็นไปตามกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์แล้วก็ กลต. ผมว่าก็เป็นเรื่องที่ตลาดหลักทรัพย์และกลต. มี เป็นคนที่จะดูแลในส่วนนั้นนะครับในแง่ของบริษัทเองนะครับ เอ่อ เรามี Governance ชัดเจน นะครับ มีบอร์ด 15 ท่าน นะครับ ในบอร์ด 15 ท่านนั้นเนี่ย เป็นกรรมการผู้แทน 4 ท่าน นะครับ 2 ท่านมาจาก กระทรวงการคลัง นะครับ 2 ท่านมาจาก กลุ่มชาร์เตอร์ นะครับ 2 ท่านจากกระทรวงการคลัง กระทรวงการคลังวันนี้ถือตรงนะ ครับ 4.8% ถือผ่านกองทุนวายุภักษ์ อีก 20% ซึ่ง 20% นั้น บริหารผ่านกองทุน 2... บริษัทจัดการกองทุนรวมนะครับ บลจ. เนี่ย 2 แห่ง ก็คือ MFC และ KTB (K-T-A-M) นะครับ วายุภักษ์เอง มี IC ของตัวเองนะครับ มีรองปลัดฝ่ายทรัพย์สิน กระทรวงคลัง เป็นประธาน IC นะครับ แล้วก็ มีกรรมการของเขาชัดเจน ประกันสังคม ถือ 14% มี IC ชัดเจนเหมือนกัน นะครับ เพราะฉะนั้น ก็ผู้ถือหุ้นที่มีสัดส่วนสูง ก็จะมีตัวแทน นั่งในบอร์ด ก็เป็น ธรรมเนียมปฏิบัติของบริษัทจดทะเบียน นะครับ

ในบอร์ดเอง เราก็มีการคุย เราก็มีการบริหารจัดการ ตลอด 10 ปี 11 ปี ที่ผ่านมา ผมคิดว่าบอร์ดบางจาก Prudent (รอบคอบ, สุขุม, ระมัดระวัง) มากนะครับ วิธีการ กระบวนการกลั่นกรองการทำงานค่อนข้างชัดเจนแม้กระทั่ง Strategy ใหม่ อันนี้ ก็เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ผมก็อยู่กับบอร์ดทั้งวันนะครับ ตั้งแต่ 8:00 น. จนถึง 18:00 น. นั่งคุยกัน แล้วก็ ไม่ใช่บอร์ดนั่งฟังนะครับ บอร์ดคอมเมนต์ บอร์ดชาเลนจ์ บอร์ดถาม นะครับ ถามหนักกว่าที่คุณถามตะกี้ด้วยซ้ำไปนะครับ เพื่อจะตอบโจทย์ในตรงนี้ เพราะฉะนั้น ผมคิดว่ากระบวนการของเราเนี่ย ค่อนข้างชัดเจน แล้ววันนี้ Strategy ที่ออกมาผมก็คิดว่าเป็น Strategy ที่ในระดับหนึ่งผมคิดว่าก็ ค่อนข้างว้าว นะครับ แล้วก็ ตอบโจทย์ Long Term ครับ"

จากการสื่อความของ กรรมการผู้จัดการใหญ่ BCP สะท้อนถึงรายงานเก่าของทีมงานผู้จัดการรายวัน360 เมื่อช่วงเดือนเมษายน 2568 ที่ระบุว่า “อัลฟ่า ชาร์เตอร์ดฯ” ได้ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ของ BCP แล้ว จะมีการเข้าไปเจรจากับคณะกรรมการบริษัท BCP ในเบื้องต้นจะส่งกรรมการเข้าไปนั่งตามสิทธิ์ จำนวน 2 ราย เพื่อกำหนดทิศทางของบริษัทโดยรายชื่อที่มีข่าวออกมาว่าจะเป็นตัวแทนของ“อัลฟ่า ชาร์เตอร์ดฯ” คือ นายณัฐกร อธิธนาวานิช ส่วนอีกคน คือ Mr.Tomas Koch ซึ่งเคยทำงานที่ McKinsey & Company ด้านพลังงานมามากกว่า 20 ปี แต่ปัจจุบันในเรื่องนี้ยังไม่มีการยืนยันในข้อมูลดังกล่าว


ฝาก“อัลฟ่า ชาร์เตอร์ดฯ”ไล่เก็บ?
ทั้งนี้ อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจ คือที่มาของ “อัลฟ่า ชาร์เตอร์ดฯ” ในการเข้าถือหุ้นใหญ่ใน BCP ซึ่งมองขาดในเรื่องสถานะของบริษัท เพราะไม่เพียงแค่สถานะปัจจุบันที่หุ้นพลังงานเทรดต่ำกว่าบุ๊ก แต่ยังเห็นว่า BCP นั้นเป็นบริษัทที่ไม่มีเจ้าของชัดเจนเหมือนบริษัทมหาชนทั่วไป ทั้งที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ ดังนั้นการที่ “อัลฟ่า ชาร์เตอร์ด เอนเนอร์จี” เข้าไปถือหุ้นอันดับ 1 จะทำให้ BCP กลายเป็นองค์กรที่มีเจ้าของและมีคนดูแลผลประโยชน์ชัดเจน การบริหารงานในอนาคต ก็น่าจะชัดเจนขึ้น อีกทั้ง BCP มีความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมพลังงานในประเทศไทย มีสถานะทางการเงินที่มั่นคง และมีแบรนด์ที่เป็นที่ยอมรับ ถือว่าเป็นเรื่องง่ายต่อการขยายธุรกิจให้ติดปีก แต่การสะสมหุ้น BCP ของ “อัลฟ่า ชาร์เตอร์ด เอนเนอร์จี” นั้นน่าสนใจ เพราะการตั้งเป้าหมายให้ได้20% จึงเริ่มเจรจาซื้อหุ้นกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ หนึ่งในนั้นก็คือ Capital Asia Investment Pte.Ltd โดยผ่านบล.อินโนเวสท์ เอกซ์ และ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เป็นโบรกเกอร์ซื้อขายหุ้น มีการเข้าเก็บหุ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ 19 มี.ค.68 จนได้สัดส่วนที่ถืออยู่ในปัจจุบัน

ขณะที่แวดวงตลาดหุ้นไทย มีการเฝ้าจับตาการเก็บหุ้น BCP มาตั้งแต่ในช่วงที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงหนักในช่วงต้นปี นั่นเพราะการเคลื่อนไหวของBCP กลับสวนทางตลาดโดยรวม เพราะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งความเคลื่อนไหวทางด้านกระดานหุ้น Biglot ก็มีสัญญาณแปลกๆ เมื่อ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) อดีตผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง มีการปล่อยหุ้นBCP ออกและรับเข้าเก็บไว้เองอยู่บ่อยครั้งรวมไปถึงการเข้ามาทยอยเก็บหุ้น BCP ของกองทุนจากสิงคโปร์อย่าง Capital Asia Investments Pte Ltd ที่มีมาอย่างเรื่อยๆเช่นกัน จนมีการจับสังเกตว่า การปล่อยหุ้น BCP เริ่มมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยผู้ถือหุ้นใหญ่พยายามทยอยปล่อยออกมาในสัดส่วนทีละน้อยๆหรือคิดเป็นมูลค่าแค่หลักร้อยล้านบาท แต่เป็นการทยอยปล่อยออกมาให้เข้าไปรับโดย Capital Asia

ต่อมามีรายงานว่า Capital Asia ได้ขายหุ้นBCP ที่มีอยู่ให้กับ“อัลฟ่า ชาร์เตอร์ด เอนเนอร์จี” และไม่มีสัดส่วนมากพอที่จะเป็นผุ้ถือหุ้นใหญ่ในBCP แล้ว แต่ยังมีสัดส่วนเป็นผุ้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ในบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน)หรือ BCPG ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ BCP โดยข้อมูล ณ วันที่ 11 กันยายน 2568 ระบุว่า Capital Asia ถือหุ้น BCPG อยู่ที่ 5.62% เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 2

“อัลฟ่า” ชาร์เตอร์ดคือใคร?
สำหรับ อัลฟ่า ชาร์เตอร์ด เอนเนอร์จี (Alpha Chartered Energy Co., Ltd.) จดทะเบียนในประเทศไทย ทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์หลักในการเข้าเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำกัดและบริษัทมหาชนจำกัด โดยโครงสร้างการถือหุ้นมี บริษัท
อัลฟ่า โกลบอล จำกัด (Alpha Global Co., Ltd.) ถือหุ้น 51% และ บริษัท อังกอร์ อิสชูแอนซ์ เอส เอ (Encore Issuances S.A.) จากประเทศลักเซมเบิร์ก ถือหุ้น 49%โดย อัลฟ่า โกลบอล นั้น ผู้ถือหุ้นทั้งหมดคือ นายณัฐกร อธิธนาวานิช ซึ่งเป็นกรรมการของ อัลฟ่า ชาร์เตอร์ด เอนเนอร์จี นอกจากนี้นาย ณัฐกร ยังเป็นกรรมการ ใน บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC)อีกด้วย
ส่วน บริษัท อังกอร์ อิสชูแอนซ์ เอส เอ เป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัท Chartered Group โดย Chartered Group เป็นบริษัท Private Equity ระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญในการลงทุน และมีความสนใจในการร่วมลงทุนในบริษัทไทยชั้นนำ

มีรายงานว่าปัจจุบัน Chartered Group มีมูลค่าเงินลงทุนภายใต้การบริหารจัดการ (Assets Under Management) กว่า 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 400,000-500,000 ล้านบาท ในหลายอุตสาหกรรม เช่น การเงิน อสังหาริมทรัพย์ ไลฟ์สไตล์ รวมถึงเทคโนโลยีขั้นสูง ใน 8 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ เยอรมนี ฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ อิสราเอล ลักเซมเบิร์ก สวิตเซอร์แลนด์ และไทย

ส่วนการเข้าซื้อหุ้น BCP นั้นโดยรวมใช้เงินทั้งสิ้นประมาณ 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก ทุนจดทะเบียน บริษัท อัลฟ่า ชาร์เตอร์ด เอนเนอร์จี จำกัด จำนวน 50 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใส่เงินตามสัดส่วนการลงทุน บริษัท อัลฟ่า โกลบอล จำกัด ถือหุ้น 51% ใส่เงิน 25.5ล้านบาท และ อังกอร์ อิสชูแอนซ์ เอส เอ ถือหุ้น 49% ใส่เงิน 24.5 ล้านบาท ส่วนที่ 2 เงินในการเข้าซื้อหุ้น BCP จำนวน 9,950 ล้านบาท เป็นเงินกู้จากทาง Encore Issuances S.A. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัท Chartered Group

หากทุกอย่างเป็นไปตามเนื้อหารายงานทั้งหมด การเข้ามาถือหุ้นใหญ่ของ “อัลฟ่า ชาร์เตอร์ดฯ”คงเป็นที่เข้าใจได้ง่าย แต่ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา สัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ของ BCP ยังมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจอีกหลายประเด็น โดยมีการเชื่อมโยงว่า มูลเหตุของการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น BCP นั้น เริ่มขึ้นจาก Tom Wright อดีตนักข่าวสืบสวนคดีฉ้อโกงระดับโลก 1MDB ย่อมาจาก 1Malaysia Development Berhad เป็นบริษัทที่เคยเป็น กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund) ของประเทศมาเลเซีย ออกมากล่าวหาว่า เบนจามิน มัวร์เบอร์เจอร์ คือ 'นายหน้า' ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มอำนาจในกัมพูชาและไทย

โดยมีการกล่าวอ้างว่า เครือข่ายของมัวร์เบอร์เจอร์ใช้บริษัท Capital Asia Investments (CAI) และบริษัทอื่นที่ซับซ้อนเข้าซื้อหุ้น BCP ไม่เพียงเท่านี้เส้นทางการเงินถูกโยงไปถึง แคทรียา บีเวอร์(ภรรยาของมัวร์เบอร์เจอร์) มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 10 ของ BCP ด้วยสัดส่วน 1.22% หรือประมาณ 16.84 ล้านหุ้น ขณะที่ Capital Asia นั้นต่อมามีการขายหุ้นBCP ให้กับ “อัลฟ่า ชาร์เตอร์ดฯ” ดังกล่าว

ไม่เพียงเท่านี้ยังมีการเชื่อมโยง นายเบนจามินว่าเป็นนายหน้าขายเครื่องบินส่วนตัวให้กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองในประเทศไทย และนายยิม เลียก ประธานกลุ่มบริษัท B.I.C ของกัมพูชา ซึ่งพันธมิตรของ นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภา และอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา

ขณะเดียวกัน ในวันแถลงนโยบายของรัฐบาล นายรังสิมัน โรม สส.พรรคประชาชน ได้หยิบเรื่องนี้อภิปรายในสภาฯอย่างดุเดือด

ในเวลาต่อมา เบนจามิน ได้ออกแถลงการณ์ปฎิเสธเรื่องราวทั้งหมด พร้อมกับเผยว่าจะฟ้องดำเนินคดีกับสส.ฝ่ายค้าน

เช่นเดียวกับ “อัลฟ่า ชาร์เตอร์ดฯ” ที่ได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวอ้างที่ทำลายชื่อเสียง และยืนยันว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลหรือนักการเมืองตามที่ถูกกล่าวหา

จากทั้งหมดที่กล่าวมาต้องยอมรับว่า การฟื้นตื่นจากหลับไหลของหุ้นพลังงานยักษ์ใหญ่อย่าง

บางจากทำให้มูลค่าทางธุรกิจของบางจากถูกกลุ่มทุนเข้ามาเทคโอเวอร์ แต่ทุกอย่างดูเหมือนจะยังไม่สงบ เพราะเมื่อเกมเปลี่ยนเป็นเรื่องวุ่นๆของเกมการเมือง โดยมีนักการเมืองถูกโยงใยเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็น่าสนใจว่า สงครามการแย่งชิงหุ้นจบแล้วจริงหรือ และ ใครที่อยู่เบื้องหลัง? และ เป็นกลุ่มทุนไหนอีกที่ต้องการเข้ามาฮุบหุ้นบางจาก?
กำลังโหลดความคิดเห็น