xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยรอมาตรการกระตุ้น ศก. รัฐบาลต้องเร่งฟื้นความเชื่อมั่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



 จับสัญญาณการแถลงนโยบายของบรัฐบาลใหม่ที่อยู่เพียง 4 เดือน กับผลที่จะเกิดขึ้นต่อตลาดหุ้นไทย ภาพรวมช่วยสร้างความชัดเจน และเพิ่มความเชื่อมั่น นักวิเคราะห์คาดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นหากเกิดขึ้นจริง จะช่วยฟื้นเศรษฐกิจและตลาดทุน ส่วนกรณี “ฟิทช์”ปรับลดมุมมองมีผลกระทบแค่วงจำกัด ประเมินไตรมาสสุดท้ายหุ้นปรับตัวลงได้น้อย แนะลงทุนกลุ่ม Domestic Play พร้อมปรับพอร์ตเพิ่มการลงทุนที่มากกว่าหุ้นช่วยกระจายความเสี่ยง  
ถือเป็นอีกสัญญาณที่นักลงทุนต่างเฝ้าจับตา เมื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล มีกำหนดจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 29-30 กันยายน 2568 เพราะนั่นหมายถึงเป็นการกำหนดทิศทางตลาดหุ้นในช่วงโค้งสุดท้ายปี 2568 ได้เลย


 ผลกระทบรัฐบาลอายุแค่ 4 เดือน

     การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้สำเร็จถือเป็นปัจจัยบวกเชิงโครงสร้างที่สำคัญที่สุดประการแรก ที่ช่วยลดความเสี่ยงทางการเมือง (Political Risk) ในประเทศลงทันที ซึ่งส่งผลในทางบวกต่อมูลค่าหุ้นโดยรวม และเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในสายตาของนักลงทุนต่างชาติให้กลับมาพิจารณาตลาดหุ้นไทยมากขึ้น
    อย่างไรก็ตาม ระยะเวลา 4 เดือนแรกของรัฐบาลใหม่นี้ ถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่มีผลกระทบสูงมากต่อตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในเชิงของ Sentiment และความผันผวน

      เริ่มที่การมีผลต่อดัชนีหลักทรัพย์และบรรยากาศการซื้อขาย นั่นเพราะเมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองและกำลังจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจน ตลาดหุ้นมักจะได้รับปัจจัยบวกเชิง Sentiment ทันที ซึ่งอาจช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลงของดัชนีได้ ยิ่งก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์หลายสำนักประเมินว่าตลาดหุ้นไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาดการณ์ว่าดัชนี SET Index อาจมีลุ้นทดสอบระดับ 1,350-1,400 จุด ได้ภายในสิ้นปีนี้ หรือต้นปีหน้า หากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเดินหน้าอย่างเป็นรูปธรรม
 หากรัฐบาลสามารถประกาศ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น (Quick Wins) ที่มีความแน่นอนในการดำเนินการ เช่น มาตรการกระตุ้นการบริโภค หรือการลดค่าครองชีพ ได้ภายใน 4 เดือน ความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวขึ้นจากปัจจัย Sentiment และกระตุ้นให้วอลุ่มซื้อขายปรับตัวสูงขึ้นจากการ "เก็งกำไร" ตามข่าว ***

ในทางกลับกัน หากตลอด 4 เดือนจากนี้ยังคงมีความไม่แน่นอนทางการเมือง มีความล่าช้าในการจัดทำงบประมาณ หรือนโยบายสำคัญไม่สามารถผลักดันได้อย่างราบรื่น จะเกิดความผันผวนสูงมากต่อตลาดหุ้น และนักลงทุนจะเพิ่ม "ค่าความเสี่ยงทางการเมือง” ซึ่งจะกดดันให้ดัชนีอยู่ในภาวะแกว่งตัวในกรอบ (Sideway) หรือปรับตัวลง
 ความสำคัญของการบริหาร 4 เดือน

จากข้อมูล ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า นโยบายกระตุ้นกำลังซื้อและการลงทุนภาครัฐกำลังจะเข้ามามีบทบาทจะช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลงของดัชนี และจะส่งผลบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ (Domestic Play) แต่กรอบเวลา 4 เดือนนี้ ทำให้รัฐบาลต้องเน้นไปที่นโยบายที่สามารถ เห็นผลได้เร็ว มากกว่านโยบายปฏิรูปโครงสร้างในระยะยาว นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง หรือโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ใช้เวลานาน มักจะไม่เห็นผลกระทบต่อผลประกอบการในทันที แต่จะถูกใช้เป็นปัจจัยสนับสนุนในระยะกลาง-ยาวแทน
 ส่องกลุ่มหุ้นรับอานิสงส์

ที่ผ่านมานโยบายของรัฐบาลใหม่ย่อมมีผลต่อตลาดหุ้นไทยเสมอ โดยเฉพาะนโยบายที่เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งเป็นธีมที่นักลงทุนให้ความสนใจสูงสุดในปัจจุบัน โดยหากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม กลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้รับอานิสงส์มากที่สุด ภายใต้ธีม Domestic Play คือกลุ่มค้าปลีก/ค้าส่ง และการบริโภคในประเทศ นั่นเพราะจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ เช่น โครงการ "คนละครึ่ง" หรือการเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน ดังนั้นหุ้นเด่น ได้แก่ CPALL, CPAXT, BJC, HMPRO, GLOBAL

ถัดมาคือกลุ่ม Non-Bank (สินเชื่อรายย่อย) เพราะหากมีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะช่วยลดต้นทุนทางการเงินของกลุ่มนี้ และมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการพักหนี้หรือการให้สินเชื่อฉุกเฉินจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก โดยหุ้นหุ้นเด่น คือ MTC, SAWAD, TIDLOR, KTC

สำหรับกลุ่มถัดมา ที่จะได้รับปัจจัยบวกคือ กลุ่มท่องเที่ยว (Tourism) โดยคาดว่าจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการส่งเสริมเศรษฐกิจบริการ ทำให้หุ้นเด่นในกลุ่มนี้คือ AOT, CENTEL, ERW
ตามด้วย   กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้าง คาดว่าหุ้นในกลุ่มนี้จะ ได้ประโยชน์จากโครงการลงทุนภาครัฐขนาดใหญ่ เช่น โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยหุ้นเด่น ได้แก่ STEC, CK, SCC, TASCO และกลุ่มพลังงานและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยคาดว่าจะได้ประโยชน์จากการสนับสนุนพลังงานสะอาด และมาตรการลดราคาน้ำมันและค่าไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนของประชาชนและภาคธุรกิจ ทำให้หุ้นเด่น ได้แก่ GUNKUL, EA, NEX






มาตรการกระตุ้นศก.สำคัญ?

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส (ASPS) ประเมินทิศทางหุ้นไทยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี2568 มีทิศทางดีขึ้นแบบขั้นบันได โดยเชื่อว่าในช่วงปลายปีจะได้เห็นแรงผลักดันที่ชัดเจนจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของรัฐบาลซึ่งจะส่งผลให้การบริโภคเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

ไม่เพียงเท่านี้ นักวิเคราะห์บางส่วนยังประเมินว่า การดำเนินนโยบายการเงินที่สอดคล้องกับนโยบายการคลังของรัฐบาลใหม่ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้มี กระแสเงินไหลเข้า มาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้น และเป็นแรงหนุนให้ตลาดหุ้นในภาพรวมฟื้นตัวได้ดีขึ้น


ปัจจัยภายนอกประเทศที่ส่งผลต่อ SET

นอกเหนือจากนโยบายภาครัฐแล้ว ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ภายใต้แรงกดดันจากปัจจัยมหภาคและภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญ โดยเริ่มที่นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และค่าเงิน นั่นเพราะการตัดสินใจของเฟด เกี่ยวกับการคงอัตราดอกเบี้ย หรือ การปรับลดอัตราดอกเบี้ย ในอนาคต เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อกระแสเงินทุน (Fund Flow) ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย
เนื่องจากหาก เฟดคงดอกเบี้ยสูง/ลดช้ากว่าคาด จะส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงแข็งค่า ดึงดูดให้เงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) รวมถึงไทย กลับเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ซึ่งจะกดดันให้ เงินบาทอ่อนค่า และเพิ่มต้นทุนทางการเงิน (Cost of Debt) ของบริษัทจดทะเบียนที่มีหนี้สกุลเงินดอลลาร์

ขณะเดียวกัน หากเฟดเริ่มลดดอกเบี้ยตามคาด/ลดเร็วกว่าคาด จะเป็นปัจจัยบวกเนื่องจากจะทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และเพิ่มโอกาสที่เงินทุนต่างชาติจะ ไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่า
สอดคล้องกับ มุมมองของนายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ เคยให้ความเห็นว่า การฟื้นตัวของตลาดยังต้องอาศัยปัจจัยภายนอก เช่น นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางต่างประเทศอื่นๆ และแนวโน้มของค่าเงินบาทที่อาจแข็งค่าขึ้น ซึ่งช่วยดึงดูดเงินทุนต่างชาติให้ไหลกลับเข้ามาในตลาดได้


สัญญาณเตือนจาก Fitch Ratings

เมื่อเร็วนี้ Fitch Ratings (ฟิทช์ เรทติ้งส์) **** ปรับลด "มุมมอง" (Outlook) ความน่าเชื่อถือของประเทศไทยจาก "มีเสถียรภาพ" เป็น "เชิงลบ" (Negative) ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนต่อเสถียรภาพทางการคลัง โดยสาเหตุหลักที่ Fitch กังวล นั่นคือ ความกังวลต่อเสถียรภาพและวินัยทางการคลัง และหากปล่อยการขาดดุลเรื้อรัง จะมีผลให้ระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่มสูงขึ้น จนอาจแตะ 65% หากไม่มีการจัดการ อีกทั้งฟิทช์คาดว่า GDP ไทยจะเติบโตเพียง 2.2% ในปี 2568 และ 1.9% ในปี 2569 ซึ่งต่ำกว่าค่ามัธยฐานของประเทศอื่น ๆ ในกลุ่ม 'BBB' นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงทางการเมืองและความไม่แน่นอน จากการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลและเสถียรภาพในระยะ 4 เดือน****

นั่นทำให้นักวิเคราะห์มองว่า นี่คือ "สัญญาณเตือนดัง ๆ" ที่สะท้อนว่า "พื้นที่ทางการคลังที่แคบลงเรื่อย ๆ" ของไทย และความเสี่ยงที่หนี้ต่อ GDP จะไม่ยั่งยืน อย่างไรก็ตาม บริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่มองว่าผลกระทบต่อ SET Index จะจำกัด อยู่ในเชิงจิตวิทยาเชิงลบในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากตลาดเคยเผชิญกรณีคล้ายกันมาก่อน และปัจจัยบวกจากการเร่งผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และโอกาสที่ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะเข้ามาช่วยจำกัดผลกระทบ

ความตึงเครียดไทย-กัมพูชา

ส่วนสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชามีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยนั้น ในภาพรวมนักวิเคราะห์เชื่อว่ามีผลค่อนข้างจำกัด ในปัจจุบัน เนื่องจากสัดส่วนการค้ากับกัมพูชาคิดเป็นสัดส่วนเพียงประมาณ 3-5% ของการส่งออกรวม นั่นรวมถึงผลต่อ SET Indexในระยะสั้น เพราะเป็นเรื่องของจิตวิทยาเชิงลบ มากกว่าที่จะกระทบต่อพื้นฐานเศรษฐกิจมหภาคอย่างมีนัยสำคัญ แต่ผลกระทบจะมุ่งเน้นไปที่บริษัทที่มีสัดส่วนรายได้หรือการลงทุนในกัมพูชาสูง เช่น กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG) และกลุ่มสื่อสาร/เสาโทรคมนาคม (SAV) ที่มีรายได้พึ่งพิงกัมพูชาในสัดส่วนสูง นอกจากนี้ ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการ ค้าชายแดน และ การลงทุน อาจถูกชะลอการตัดสินใจเข้าลงทุน


ทิศทางตลาดหุ้นไทยไตรมาส 4/2568

ส่วนตลาดหุ้นไทยในไตรมาสที่ 4/2568 นี้ ถูกประเมินว่าความเสี่ยงขาลงค่อนข้างจำกัด เนื่องจากราคาหุ้นในบางกลุ่มปรับตัวลงมาระดับหนึ่งแล้ว และนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าดัชนีจะยังคงอยู่ในภาวะ แกว่งตัวในกรอบ (Sideway) โดยมีปัจจัยบวกที่หนุนตลาดในไตรมาส 4/2568 คือ ความชัดเจนทางการเมืองในประเทศ ถือเป็นปัจจัยบวกแรกสุดที่ช่วยลดความกังวลและหนุนบรรยากาศการลงทุน

ถัดมาคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลงของดัชนี และหนุนหุ้นกลุ่ม Domestic Play อีกประเด็นคือแนวโน้มการลดดอกเบี้ยนโยบายจะยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้สภาพคล่องในตลาดโลกเพิ่มขึ้น และเป็นผลบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว ถือเป็นแรงหนุนหลักของเศรษฐกิจไทยและบริษัทที่เกี่ยวข้อง และกองทุน ThaiESG ใหม่ ถือเป็นแนวทางขับเคลื่อนตลาดทุน เพราะการจัดตั้งกองทุน ThaiESG ใหม่ จะเป็น Sentiment เชิงบวกและดึงดูดเม็ดเงินใหม่ เข้าสู่ตลาดทุน

สำหรับปัจจัยลบที่ต้องจับตา ได้แก่ ความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบาย เนื่องจากหากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไม่สามารถผลักดันได้อย่างราบรื่น จะกดดันให้ดัชนีอยู่ในภาวะ Sideway ถัดมาคือความเสี่ยงทางการคลัง จากการปรับลดมุมมองของ Fitch Ratings เป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงที่หนี้ต่อ GDP จะไม่ยั่งยืน

อีกประเด็นคือ นโยบายเฟดที่ไม่เป็นไปตามคาด หากเฟดคงดอกเบี้ยสูงหรือลดช้ากว่าคาด จะกดดันให้เงินทุนต่างชาติไหลออกและเงินบาทอ่อนค่า รวมไปถึงผลประกอบการไตรมาส 3/2568 นั่นเพราะนักลงทุนจะเริ่มรอดูผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางพื้นฐานของตลาดในช่วงปลายปี ขณะเดียวกัน ยังมีเรื่องความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ภายนอกเช่น สงครามการค้า หรือความผันผวนของค่าเงิน

กลยุทธ์การลงทุน

โดยมุ่งเน้นการลงทุนในกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากนโยบายภาครัฐ หรือที่เรียกว่า Domestic Play เป็นหลัก
โดยกลุ่มหุ้นที่ได้รับประโยชน์และมีโอกาสเติบโต นักวิเคราะห์จากหลายสำนัก ต่างให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่ม Domestic Play เป็นหลัก เริ่มที่กลุ่มค้าปลีก/บริโภค CPALL, CPAXT, BJC ได้ประโยชน์โดยตรงจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคและการเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน

กลุ่มสินเชื่อรายย่อย (Non-Bank) ได้แก่ MTC, SAWAD, TIDLOR, KTC เพราะได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงที่จะช่วยลดต้นทุนทางการเงิน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ถัดมาคือกลุ่มท่องเที่ยว AOT, CENTEL, ER ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ APเพราะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ (Domestic Demand) และแนวโน้มดอกเบี้ยที่คงที่หรือลดลง นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม Defensive Play ได้แก่ ADVANC, CPALL, BDMS, GULF เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในภาวะที่ตลาดยังมีความผันผวน เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานดีและมีปันผลสูง

ส่วนกลยุทธ์การบริหารพอร์ตโฟลิโอ (Asset Allocation) นักวิเคราะห์ แนะนำให้มีการ กระจายความเสี่ยง (Diversification) อย่างรอบคอบ เนื่องจากตลาดหุ้นได้ปรับขึ้นมาต่อเนื่องแล้ว การจัดพอร์ตจึงไม่ควรจำกัดอยู่แค่ในตลาดหุ้นไทยเท่านั้น แต่ควรกระจายไปในสินทรัพย์อื่น ๆ

ขณะที่ทองคำ ยังคงเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง (Hedge) ที่มีประสิทธิภาพสูง ทั้งจากความเสี่ยงเงินเฟ้อและค่าเงินบาทที่ผันผวน ถัดมาคือตราสารหนี้ ควรเน้นระยะสั้นถึงกลาง เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยระยะยาว รวมถึงการลงทุนหุ้นต่างประเทศ ควรเน้นลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ที่มีคุณภาพสูง และกลุ่มเทคโนโลยีที่ได้รับแรงหนุนจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง เพื่อรับมือกับปัจจัยภายนอก

โดยสรุปใน ช่วง 4 เดือนแรกของรัฐบาล นักลงทุนควรเน้นการเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนั้น ๆ โดยเฉพาะกลุ่มที่อิงกับการบริโภคภายในประเทศ และให้ความระมัดระวังต่อการเข้าลงทุนในหุ้นที่ต้องพึ่งพาโครงการภาครัฐขนาดใหญ่ซึ่งยังไม่มีความแน่นอนในระยะสั้น ขณะเดียวกันการติดตามความคืบหน้าของมาตรการและการบริหารจัดการความเสี่ยงจากปัจจัยมหภาคอย่างใกล้ชิดถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด


กำลังโหลดความคิดเห็น