แม้สปอต ETF ในสหรัฐฯ จะเป็นข่าวใหญ่ แต่การใช้งานคริปโตจริง ๆ กลับเกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนาอย่างอาร์เจนตินา ไนจีเรีย และฟิลิปปินส์ ที่ผู้คนพึ่งพาสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อเอาตัวรอดจากเงินเฟ้อ พันธนาการการโอนเงิน และระบบการเงินที่เปราะบาง
อุตสาหกรรมคริปโตทุ่มเวลาไปกับการจับตาสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ทั้งเรื่องกฎเกณฑ์ ผลตอบแทนการเก็งกำไร ไปจนถึงการเข้ามาของสถาบันการเงินใหญ่ ๆ แต่สิ่งนี้กำลังทำให้มองข้าม “สนามจริง” ที่การยอมรับคริปโตกำลังเบ่งบานอยู่ในตลาดเกิดใหม่อย่างลากอส บัวโนสไอเรส และมะนิลา
รายงานล่าสุดจาก Chainalysis ยืนยันว่า อินเดียยังครองอันดับ 1 ของโลกด้านการใช้งานคริปโตต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ตามมาติด ๆ คือไนจีเรีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ จุดร่วมของประเทศเหล่านี้ไม่ใช่การเก็งกำไร แต่คือ “การอยู่รอด” ไม่ว่าจะเป็นการสู้กับเงินเฟ้อ การโอนเงินข้ามประเทศ หรือการหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมโหดของระบบการเงินเก่า
คริปโตแก้ปัญหาชีวิตประจำวันจริง ๆ
ในอาร์เจนตินา เงินเฟ้อพุ่งทะลุหลักสามหลักต่อปี คนจำนวนมากหันไปซื้อสเตเบิลคอยน์ที่ผูกกับดอลลาร์ ไม่ใช่เพื่อถือยาว แต่เพื่อซื้อของกินของใช้และจ่ายค่าเช่าบ้านโดยตรง ส่วนในไนจีเรีย คริปโตถูกใช้เป็นทางรอดในธุรกิจการค้าข้ามพรมแดนและการโอนเงินกลับบ้าน ตัดต้นทุนจากค่าธรรมเนียมสูงลิ่วของบริการโอนเงินแบบเดิม ทั้งนี้ แอฟริกาตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาราเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตของผู้ใช้คริปโตเร็วที่สุดในโลก โตเฉลี่ยเกือบ 20% ต่อปี
ตัวอย่างเหล่านี้สะท้อนชัดว่า คริปโตไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเก็งกำไร แต่คือ “เครื่องมือเอาตัวรอด” สำหรับประชาชนในประเทศที่ระบบการเงินล้มเหลว
สหรัฐฯ และยุโรป ติดเบรกชะลอตัว
ขณะที่ในตะวันตก ประเด็นหลักยังวนเวียนอยู่กับ ETF ของบิทคอยน์และอีเธอเรียม การดูแลทรัพย์สินโดยสถาบันการเงิน และศึกกฎระหว่างหน่วยงานกำกับ แต่ทั้งหมดนี้แทบไม่ช่วยอะไรกับคนที่ไร้บัญชีธนาคารในอีกซีกโลกหนึ่ง หรือแรงงานที่ต้องส่งเงินกลับบ้านโดยไม่อยากเสียค่าโอนเป็นสัปดาห์ของค่าแรง
ความจริงคือ “การยอมรับคริปโต” ได้เกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่ไม่ได้อยู่ตรงที่วอลล์สตรีทกำลังจ้อง แต่เกิดในที่ที่ผู้คนใช้มันเพื่อการยังชีพ การโอนเงิน และการปกป้องทรัพย์สินจากเงินเฟ้อ
การเติบโตที่แท้จริงอยู่ที่ตลาดเกิดใหม่
จำนวนผู้ใช้งานหลักพันล้านคนรุ่นใหม่ไม่ได้สนใจ ETF อีเธอเรียม แต่สนใจว่าคริปโตจะช่วยให้ส่งเงินกลับบ้านได้โดยไม่โดนหักค่าธรรมเนียม 7% จากระบบเก่า การละเลยตลาดเหล่านี้คือการพลาดโอกาสใหญ่ เพราะนี่คือฐานผู้ใช้ที่กำลังเติบโตเร็วที่สุดในโลก
ในทางกลับกัน โครงการที่สร้างเพื่อเอาใจแต่นักลงทุนวอลล์สตรีท กลับปิดประตูใส่ตลาดจริง ๆ ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว และในไม่กี่ปีข้างหน้า นี่แหละที่จะกลายเป็นเส้นเลือดหลักของการยอมรับคริปโตทั่วโลก
หัวใจของการใช้งานจริง
ภาพที่แท้จริงไม่ใช่ ETF แต่คือโชเฟอร์แท็กซี่ในลากอสที่ถือสเตเบิลคอยน์กันค่าเงินไนราลดค่า เจ้าของร้านเล็ก ๆ ในบัวโนสไอเรสที่ใช้เหรียญดิจิทัลแทนเงินสดที่ละลาย หรือแรงงานต่างชาติที่ส่งเงินกลับบ้านโดยไม่ถูกหักค่าธรรมเนียมที่สูงมาก
ด้านองค์การธนาคารโลกเผยว่า ปี 2567 มูลค่าการโอนเงินข้ามประเทศทั่วโลกสูงกว่า $685,000 ล้านเพียงแค่ลดค่าธรรมเนียมลง 1% ก็จะมีเงินมหาศาลคืนสู่มือครอบครัวที่ต้องการ ซึ่งคริปโตคือพื้นที่ที่ทำได้ดีกว่าระบบเก่า ไม่แปลกที่ร้านค้าในฟิลิปปินส์กว่าล้านแห่งเริ่มรับชำระเงินด้วยเหรียญดิจิทัลผ่านกระเป๋าเงินมือถือ
อย่างไรก็ดีสิ่งที่คริปโตควรทำ ไม่ใช่สร้างผลิตภัณฑ์เพื่อวอลล์สตรีท แต่ต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้ง่าย ราคาถูก และเหมาะกับมือถือสำหรับผู้ใช้ในตลาดเกิดใหม่ สร้างช่องทางโอนเงินต้นทุนต่ำ เชื่อมสกุลเงินท้องถิ่นเข้ากับคริปโตอย่างราบรื่น และให้ความรู้คนที่ใช้คริปโตเพื่อชีวิตจริง
สุดท้ายแล้ว อนาคตของการเงินโลกจะถูกเขียนใหม่โดยคนตัวเล็กๆในเศรษฐกิจเกิดใหม่ ไม่ใช่โดยยักษ์ใหญ่การเงินดั้งเดิม และคำถามใหญ่ตอนนี้คือ ใครจะฉลาดพอที่จะมองเห็นว่ากระแสหลักที่แท้จริงอยู่ตรงไหน เพราะสนามรบจริงของคริปโต ไม่เคยอยู่ที่วอลล์สตรีท แต่มันอยู่ทุกที่ ที่ผู้คนต้องการใช้มันเพื่ออยู่รอด