“ไซโน โลจีสติกส์ คอร์ปอเรชั่น ” ลุยลงทุนต่อเนื่อง รับดีมานด์ขนส่งพุ่ง อีกทั้งบริษัทร่วมทุนหนุนรายได้เพิ่ม มั่นใจปีนี้ทำได้ตามเป้า 4,300 ล้านบาท เร่งปิดดีลร่วมทุนปีนึั 1 ดีลตามแผนขยายงาน มองขนส่งสินค้าระหว่างประเทศคึก และการส่งออกไทยได้เปรียบ หลังได้ข้อสรุปอัตราภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ ที่ 19%
นายนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไซโน โลจีสติกส์ คอร์ปอเรชั่น หรือ SINO เปิดเผยทิศทางการดำเนินงานครึ่งปีหลังว่ายังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจบริการขนส่งสินค้าทางทะเล ที่เข้าสู่ช่วงพีค ประกอบกับการขยายธุรกิจขนส่งทางอากาศหลังจาก SINO เข้าถือหุ้นผ่าน บริษัท เอ.เอส. โลจิสติคส์ จำกัด (A.S. Logistics) ซึ่งจะรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งบริษัทฯ คาดการณ์ภาพรวมอุตสาหกรรมขนส่งสินค้าทางอากาศปี 2568 – 2569 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากการฟื้นตัวของธุรกิจการบินและการเพิ่มเที่ยวบินระหว่างประเทศ ส่งผลดีต่อพื้นที่ระวางสินค้าที่จะเพิ่มขึ้น อีกทั้งจะเพิ่มทีมงานฝ่ายขายเพื่อขยายฐานลูกค้าและทำโรดโชว์ให้ข้อมูลกับสายการบินต่างๆ ภายใต้การสนับสนุนจาก SINO ซึ่งคาดว่าจะทำให้บริษัทฯ มีรายได้ 100 ล้านบาทในปี 2568 และเพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านบาทในปี 2569
ดังนั้น จากการเพิ่มขี้นของรายได้จากธุรกิจขนส่งทางอากาศจะทำให้สัดส่วนรายได้ของ SINO ปรับเป็นรายได้จากธุรกิจบริการขนส่งสินค้าทางทะเล 90%ธุรกิจขนส่งทางอากาศ 5 % และธูรกิจขนส่งทางบก 5 % ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า
โดย ปีนี้ SINO ยังคงเป็นไปตามเปัาหมายที่วางไว้คือ 4,300 ล้านบาท เติบโตจากปี 67 ทำไว้ที่ 3,701.31 ล้านบาท และยืนยัตรักษาการเติบโตของกำไรที่ 14-15% แม้ว่าธุรกิจขนส่งทางเรือชะลอตัว ส่งผลให้ครึ่งปีแรกมีปริมาณการขนส่งอยู่ที่ 22,805 ตู้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ของสหรัฐฯ ทำให้ช่วง 2 เดือนแรกของปีแต่เชื่อว่าจะเพิ่มขึ้่นในครึ่งปีหลัง
สำหรับเป้าหมายการขยายธุรกิจSINO ตั้งใจใหัครอบคลุมในอาเซียนเพิ่ม ซึ่งธุรกิจบริการขนส่งทางอากาศ วางแผนขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ SINO Worldwide เพื่อเพิ่มศักยภาพการบริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ หลังจากร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ในมาเลเซีย ตั้งบริษัท Sino Worldwide Logistics SDN. BND และสำนักงานในมาเลเซียเมื่อปี 67 ด้วยการถือหุ้น 51% เพื่อสนับสนุนแผนการเพิ่มปริมาณขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น ส่วนที่เวียดนามตั้งบริษัท Sino Worldwide Vietnam Co.,Ltd และสำนักงานเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา SINO ถือหุ้น 60% คาดว่าจะมีปริมาณขนส่งสินค้าเฉลี่ย 250 ตู้ต่อเดือนในครึ่งปีหลังของปี 2568 อี่กทั้งเตรียมตั้งบริษัทร่วมทุนและสำนักงานที่อินโดนีเซีย ซคาดว่าจะแล้วเสร็จไตรมาส 2 ปี 2569
“ เรายังคงมองหาโอกาสการเข้าซื้อกิจการ (M&A) และการร่วมทุนกับพันธมิตร (JV) ซึ่งขณะนี้เจรจาอยูา 2 ราย เป็นธุรกิจเกี่ยวกับขนส่งทางเรือและทางบกหนุน คาดว่าจะเห็นความชัดเจน 1 ดีลในปี 69 และส่วนตัวอยากให้ดีลขนส่งทางเรือปิดก่อน"นายนันท์มนัสกล่าว
นอกจากนี้ เตรียมตัังบริษัทร่วมทุนและเปิดสำนักงานที่อินโดนีเซีย คาดแล้วเสร็จไตรมาส 2 ปี 2569 ส่วนธุรกิจบริการสนับสนุนงานบริการโลจิสติกส์ SINO เตรียมเปิดบริการคลังสินค้าปลอดอากร (Free Zone) พื้นที่เกือบ 6,000 ตารางเมตร ภายในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เดือนตุลาคมนีั ซึ่งจะเพิ่มพื้นที่คลังสินค้ารวมเป็นกว่า 33,000 ตารางเมตร และวางแผนลงทุนคลังสินค้าปลอดอากรแห่งใหม่ในจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อกระจายทำเลและขยายพื้นที่คลังสินค้ารวมเป็น 50,000 ตารางเมตร
ล่าสุด SINO ลงทุนเทคโนโลยีดิจิทัลภายใต้ชื่อโครงการ VOYA เพื่อพัฒนาและติดตั้งระบบ Freight Cloud System เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความรวดเร็วแม่นยำของการบริหารกระบวนการขนส่งสินค้า รวมถึงติดตามสถานะแบบเรียลไทม์ และติดตั้งระบบ SAP S4/HANA ซึ่งเป็นระบบ ERP อันดับหนึ่งของโลก เพื่อบริหารงานบัญชีและการเงิน เพิ่มประสิทธิภาพด้านความถูกต้อง โปร่งใส และการตรวจสอบที่เป็นระบบ
นายนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าทางทะเลบนเส้นทางไทย-สหรัฐอเมริกา6 เดือนแรกของปีนี้ ได้รับผลกระทบเชิงบวกและลบจากความไม่แน่นอนของการปรับขึ้นอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ของสหรัฐฯ โดยเกิดการเร่งนำเข้าสินค้าในไตรมาสแรกที่ผ่านมา หลังจากสหรัฐฯ ประกาศปรับขึ้นอัตราภาษีพื้นฐาน 10% กับทุกประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2568
อย่างไรก็ตาม การขนส่งสินค้ากลับมาชะลอตัวเล็กน้อยในครึ่งเดือนหลังของเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เนื่องจากกังวลต่อความไม่แน่นอนของการปรับขึ้นอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่เริ่มมีตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 ขณะที่แนวโน้มภาพรวมธุรกิจขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าทางทะเลบนเส้นทางไทย-สหรัฐฯ ช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่าจะมีดีมานด์ต่อเนื่อง หลังจากได้พบกับผู้นำเข้าสินค้าที่สหรัฐฯ เนื่องจากอัตราภาษีฯ ของไทย-สหรัฐฯ ที่ 19% ต่ำกว่าเวียดนามเล็กน้อยและเท่ากับมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกหลักในอาเซียน รวมถึงไทยใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content) เป็นส่วนใหญ่ จึงมีความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน