xs
xsm
sm
md
lg

THBAชี้ศก.ซบ-ปัญหาชายแดนไทย-เขมรทุบตลาดตจว.“Gen Y-Z”กำลังซื้อหดพับแผนสร้างบ้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยมีการปรับตัว เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ตลาดและปัจจัยลบ ปัจจัยบวกที่มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมก่อสร้างในภาคของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง หรือ ธุรกิจรับสร้างบ้าน โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีก่อนหน้านี้ ถือว่าเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมก่อสร้างได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบ จากทั้งภายในและภายนอกประเทศอย่างสาหัส

เริ่มตั้งแต่วิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ตามมาด้วยปัญหาภูมิรัฐศาตร์ และสงครามการค้า สงครามรัสเซีย -ยูเครน สงครามในกลุ่มประเทศตะวันออก ซึ่งส่งผลต่อการลงทุนและต้นทุนพลังงาน ต้นการผลิตไปทั่วโลก และประเทศไทยเองก็คือหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผลพวงจากต้นทุนพลังงานที่พุ่งขึ้นส่งผลให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อไปทั่วโลก และมีผลต่อต้นทุนวัสดุก่อสร้างตามมา

ขณะที่ภายนอกประเทศประสบกับปัญหาข้างต้น แต่ประเทศไทยได้รับปัจจัยลบเพิ่มขึ้นมาอีก 1เด้ง คือ ปัญหาการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ซึ่งกลายเป็นปัญหาหลักที่ทำให้ธุรกิจอสังหาฯและผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยต้องปรับตัวกันอย่างต่อเนื่องมานานกว่า5 ปี ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เปิดขึ้นเฉพาะกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ แต่กลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน

ล่าสุด สมาคมไทยรับสร้างบ้าน (Thai Home Builders Association: THBA) เปิดเผยวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้านในช่วง10 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันว่า ปัจจัยต่างๆที่เข้ามามีผลกระทบต่อตลาดและผู้บริโภคทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่สำคัญ โดยมีการเปลี่ยนผ่านจากปัจจัยที่ขับเคลื่อนด้วยราคาและงบประมาณ ก้าวไปสู่การให้ความสำคัญคุณค่าและความมั่นคงในระยะยาวมากขึ้น โดยในปัจจุบันผู้บริโภคได้หันมาให้ความสำคัญสูงสุดกับความคุ้มค่าและคุณภาพการก่อสร้างบ้าน ซึ่งรวมถึงความน่าเชื่อถือของบริษัทที่ผู้บริโภคจะใช้บริการเป็นอันดับแรก ตามมาด้วยความสามารถในการบริหารจัดการงบประมาณ และพื้นที่ใช้สอยที่ยืดหยุ่นได้

แนวโน้มการตัดสินใจในตลาดบ้านสร้างเองในอนาคตกำลังถูกกำหนดโดยปัจจัยใหม่ ๆ ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความปลอดภัยของโครงสร้างหลัก ภายหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวและภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในพื้นที่ต่างๆ นอกจากนี้ ความต้องการที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การเข้าสู่สังคมสูงวัย และเทรนด์ด้านความยั่งยืนที่ได้รับความสำคัญมากขึ้น ได้กลายเป็นแรงผลักดันหลักที่กำหนดทิศทางของตลาด

จากข้อมูลเชิงลึกดังกล่าว ทำให้บริษัทรับสร้างบ้านมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การทำตลาดและพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง จากการมุ่งเน้นการแข่งขันด้านราคา ไปสู่การสร้างคุณค่าให้กับผู้บริโภค ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย ความยั่งยืน และการออกแบบที่ตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะกลุ่มอย่างแท้จริง การสร้างความน่าเชื่อถือของแบรนด์ และการสื่อสารที่ชัดเจนในเรื่องคุณภาพ ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน

นิรัญ โพธิ์ศรี
 สถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้านปี68

นายนิรัญ โพธิ์ศรี นายกสมาคมTHBAกล่าวถึงภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านว่า ในปี 68 นี้ ตลาดรับสร้างบ้าน กรุงเทพฯ
ปริมณฑ และต่างจังหวัด ต้องเผชิญกับภาวะชะลอตัวที่ต่อเนื่องมาจากปีก่อน โดยคาดว่ามูลค่าตลาดรวมบ้านสร้างเองทั่วประเทศมีการหดตัวลงจาก 130,000 ล้านบาท ในปี 67 เหลือเพียง 110,000-120,000 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าตลาดรับสร้างบ้านที่ดำเนินการโดยบริษัทรับสร้างบ้านก็ลดลงในทิศทางเดียวกัน โดยคาดว่ามูลค่าจะลดลงจาก 18,000 ล้านบาท ในปี 67 เหลือเพียง 14,000 ล้านบาท หรือลดลง 22% นับเป็นการหดตัวที่แรงที่สุดอีกปีหนึ่ง


สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดรวมรับสร้างบ้านหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง คือ ภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง
สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย และผลระทบจากปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่จังหวัดภาคอีสานตอนล่างและจังหวัดชายแดนภาคตะวันออก ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่ต้องการสร้างบ้านขนาดเล็กในกลุ่มราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท และกลุ่มที่ต้องการสร้างบ้านขนาดใหญ่พิเศษ 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยทั้ง 2 กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรงมากที่สุด


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดรวมจะอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่จากการวิเคราะห์อย่างละเอียดของสมาคมฯ พบว่าว่า ความต้องการของผู้บริโภคในการสร้างบ้านไม่ได้หายไปทั้งหมด แต่เป็นการชะลอการตัดสินใจออกไป การที่ผู้บริโภคยังคงให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัสดุ สำหรับงานโครงสร้างที่มีคุณภาพไว้ตามเดิม บ่งชี้ว่าความต้องการในคุณค่าและคุณภาพของที่อยู่อาศัยยังคงอยู่
เพียงแต่กำลังซื้อที่ลดลงและภาระหนี้ครัวเรือน ทำให้ต้องเลื่อนแผนการลงทุนออกไปก่อน สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าดีมานด์ที่กำลังจะกลับมาในอนาคต แต่การกลับมาของดีมานด์ในอนาคตอาจไม่ใช่เป็นไปในรูปแบบเดิมอีกต่อไป แต่จะเป็นดีมานด์ที่ให้ความสำคัญกับความมั่นคงและคุณภาพในระยะยาวมากขึ้น

นอกจากผลกระทบจากเศรษฐกิจและปัจจัยลบข้างต้นแล้ว ลักษณะทางประชากรของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อแนวโน้มตลาดรับสร้างบ้านในอนาคต ทั้งนี้ โครงสร้างประชากรและลักษณะครัวเรือนของไทยที่มีการเปลี่ยนไป ส่งผลต่อความต้องการที่อยู่อาศัยในปัจจุบันและอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยโครงสร้างครอบครัวไทยที่พบมากที่สุด คือ ครอบครัวเดี่ยว ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 53.65% ในปี 65 ในขณะที่ครอบครัวขยายมีสัดส่วนเพียง 13.15% นอกจากนี้ ขนาดครัวเรือนเฉลี่ยทั่วประเทศก็มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ที่ประมาณ 3.2 คนต่อหนึ่งครัวเรือน ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีจำนวนผู้สูงอายุมากถึง 12.5 ล้านคน สวนทางกับอัตราการเกิดที่ติดลบนับตั้งแต่ปี64


 แนะโฟกัสลูกค้าเหมาะกับโครงสร้างประชากร 

นายกสมาคมTHBAกล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรและลักษณะครัวเรือนที่เปลี่ยนไป ทำให้ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านต้องมีการทำการบ้านเพื่อศึกษาคามต้องการลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมมากขึ้น เพื่อโฟกัสกลุ่มลูกค้าไปตรงและแม่นยำมากที่สุด ทั้งนี้ กลุ่มผู้บริโภคบ้านสร้างเอง ที่ต้องการสร้างบ้านส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มที่มีที่ดินเปล่าเป็นของตนเอง แต่จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ทำให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้มีความละเอียดอ่อน และมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา ซึ่งเกิดจากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจที่ผันผวน โดยTHBAพบว่าผู้บริโภคกลุ่มGen YและGen Zซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด เป็นกลุ่มที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิทัล แม้ว่ากลุ่มนี้จะมีความต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์แบบใหม่ เช่น การทำงานที่บ้าน แต่กลับเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากที่สุด เนื่องจากเป็นกลุ่มที่กำลังสร้างตัวและมีรายได้ยังไม่สูงมากนัก ส่งผลให้หลายคนต้องชะลอการตัดสินใจสร้างบ้านออกไป

“การเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้าง เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคต้องปรับเปลี่ยนแผน เพื่อควบคุมงบประมาณ การปรับตัวส่วนใหญ่ทำได้โดยการเลือกปรับลดวัสดุตกแต่ง หรือการออกแบบบางส่วนที่มีราคาแพงลง แต่ยังคงเลือกใช้วัสดุสำหรับงานโครงสร้างไว้ตามเดิม การกระทำนี้สะท้อนให้เห็นว่าในสถานการณ์ที่ต้องประหยัดค่าใช้จ่าย ผู้บริโภคยังคงให้ความสำคัญกับความมั่นคงและคุณภาพของบ้านในระยะยาว เป็นสัญญาณที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการ” นายนิรัญ กล่าว

นายกสมาคมTHBA กล่าวต่อว่า สำหรับปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคความสำคัญเป็นอันดับแรก ๆ ในการตัดสินใจสร้างบ้านยังคงเป็นปัจจัยด้านการเงินและเศรษฐกิจ ดังนั้น การบริหารงบประมาณจึงเป็นสิ่งแรก ๆ ที่ผู้บริโภคต้องคำนึงถึง โดยงบประมาณการก่อสร้างส่วนใหญ่อยู่ที่ 2-5 ล้านบาท สิ่งที่น่าสนใจคือผู้บริโภคในกลุ่มนี้มีสัดส่วนสูงมากกว่า 40%
ที่ไม่ต้องการใช้สินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยใช้เงินสดในการก่อสร้างบ้านเอง ขณะที่อีกกว่า 32% ยังคงมีความต้องการใช้สินเชื่อ อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ยังหดตัวอยู่ และนโยบายของภาครัฐที่ไม่ชัดเจน กลับส่งผลให้ความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายหรือลงทุนเรื่องที่อยู่อาศัยลดลง ทำให้ผู้บริโภคมีความอ่อนไหวต่อราคาและต้นทุนค่าก่อสร้างที่สูงขึ้น และต้องปรับแผนการก่อสร้างเพื่อควบคุมงบประมาณตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น


นอกจากปัจจัยด้านการเงินและเศรษฐกิจแล้ว ปัจจัยด้านความน่าเชื่อถือและความปลอดภัย คือ ปัจจัยรองลงมาที่ผู้บริโภคที่กำลังตัดสินใจสร้างบ้านเองให้ความสำคัญ ทั้งนี้ในอดีตการปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจสร้างบ้านอันดับแรกคือ ราคา
ซึ่งผลวิจัยพบว่า "ราคาที่ถูกกว่าซื้อโครงการบ้านจัดสรร" เป็นเหตุผลอันดับที่ 3 ที่ผู้บริโภคเลือกสร้างบ้านเอง ซึ่งสะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับต้นทุนในขณะนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการและแบรนด์กลับเข้ามามีบทบาทที่สำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้บริโภคGen XและGen Yที่ต้องการใช้บริการกับผู้ประกอบการสร้างบ้านที่มีประวัติและชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ


ทั้งนี้ จุดเปลี่ยนที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวล่าสุด ซึ่งกระทบต่อความมั่นใจของผู้บริโภคอย่างรุนแรง ผลสำรวจล่าสุดเผยว่ากว่า 90% ของผู้บริโภคต้องการเลือกแบรนด์ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยและใช้ผู้ประกอบการสร้างบ้านที่น่าเชื่อถือ และมากกว่า 50% พร้อมที่จะเพิ่มงบประมาณในการสร้างบ้านใหม่ เพื่อยกระดับความปลอดภัยของโครงสร้าง ซึ่งชี้ให้เห็นว่าปัจจัยด้านความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยของโครงสร้างได้กลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนอันดับหนึ่งในการตัดสินใจของผู้บริโภคในปัจจุบันแทนที่การแข่งขันด้านราคาอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต

“การที่ผู้บริโภคเต็มใจที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้น เพื่อความปลอดภัยและคุณภาพ สะท้อนถึงการเปลี่ยนมุมมองจากการมองบ้านเป็นเพียง "สินทรัพย์" ที่มีต้นทุนต่ำ ไปสู่การมองบ้านเป็น "แหล่งพักพิงที่ปลอดภัย" ที่มีคุณค่าในระยะยาว ผู้ประกอบการสร้างบ้านที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในด้านความแข็งแรงของโครงสร้างมาตรฐานการก่อสร้างที่เหนือกว่า และการรับประกันที่ชัดเจนจะมีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างมากในตลาดปัจจุบัน” นายกสมาคมTHBA กล่าว

นายนิรัญ กล่าวว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก สมาคมฯ ได้สรุปและจัดลำดับความสำคัญของผู้บริโภค ในการตัดสินใจสร้างบ้านในปัจจุบันและอนาคต โดยปัจจัยด้านราคาไม่ได้เป็นตัวแปรเดียวในการตัดสินใจอีกต่อไป แต่เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งที่ผู้บริโภคนำไปเปรียบเทียบกับปัจจัยอื่น ๆ ที่สร้างคุณค่าในระยะยาว โดยมีลำดับควาสำคัญดังนี้

· ลำดับที่1:ความน่าเชื่อถือและความปลอดภัย (Trust & Safety)ปัจจัยนี้ได้ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งอย่างชัดเจน โดยได้รับแรงผลักดันจากความกังวลด้านความมั่นคงของโครงสร้างหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวล่าสุด ผู้บริโภคเต็มใจที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อใช้บริการจากบริษัทที่มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือ

· ลำดับที่2:คุณภาพและความคุ้มค่าระยะยาว (Quality & Long-Term Value)ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับบ้านที่ให้ความคุ้มค่าในระยะยาว โดยสะท้อนจากความต้องการบ้านยั่งยืนและประหยัดพลังงาน ที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค


· ลำดับที่3:พื้นที่ใช้สอยและฟังก์ชันที่ยืดหยุ่น (Flexible Space & Functionality)การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เช่น การทำงานจากที่บ้าน ทำให้ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับพื้นที่ที่สามารถปรับเปลี่ยนและตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายได้ รวมถึงการออกแบบที่รองรับการอยู่อาศัยของสมาชิกต่างวัยในครอบครัวขยาย


· ลำดับที่4:การบริหารงบประมาณ (Budget Management)ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ แต่ผู้บริโภคแสดงให้เห็นถึงการประนีประนอม ด้วยการลดคุณภาพวัสดุตกแต่งลง แทนที่จะลดคุณภาพของโครงสร้างหลัก


· ลำดับที่5:การปรับแต่งตามความต้องการ (Personal Customization)เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ขับเคลื่อนให้ผู้บริโภคเลือกสร้างบ้านเองตั้งแต่แรก และยังคงเป็นสิ่งที่ทำให้การสร้างบ้านมีความหมายและตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลได้อย่างแท้จริง


กำลังโหลดความคิดเห็น