บลูมเบิร์กชี้ราคาบิทคอยน์อาจดิ่งลงอย่างรุนแรงแตะ 10,000 ดอลลาร์ หลังพุ่งแตะจิตวิทยา 100,000 ดอลลาร์ ชี้ตลาดคริปโตเริ่มอิ่มตัว ขณะที่ทองคำกลับแซงหน้าในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย สัญญาณความผันผวนชี้ชัด นักลงทุนควรเตรียมรับการปรับฐานรุนแรง
ราคาบิทคอยน์ที่ทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดในปีนี้ อาจไม่ใช่สัญญาณแห่งความมั่นคง แต่กลับสะท้อนความร้อนแรงที่เสี่ยงจะกลายเป็นหายนะ ล่าสุด ไมค์ แมคโกลน (Mike McGlone) นักกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์อาวุโสจาก Bloomberg Intelligence ออกโรงเตือนในรายการ David Lin Report ว่า ราคาบิทคอยน์มีโอกาสทรุดตัวมากกว่า 90% จนร่วงกลับไปแตะระดับ 10,000 ดอลลาร์
แมคโกลน ผู้เคยคาดการณ์ระดับราคาสำคัญได้อย่างแม่นยำ รวมถึงการพุ่งทะยานถึง 100,000 ดอลลาร์ มองว่าการไต่ถึงตัวเลขหกหลักเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ไม่ใช่เครื่องยืนยันความแข็งแกร่งในระยะยาว หากแต่เป็นสัญญาณ “ตลาดร้อนแรงจนต้องขาย” นักลงทุนจำนวนมากกำลังติดอยู่ในภาวะหลงระเริงกับราคา ณ จุดสูงสุด
ในช่วงเดียวกัน ทองคำปรับตัวขึ้นราว 30% ขณะที่บิทคอยน์ขยับเพียง 8% เท่านั้น ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ เช่น S&P 500 ยังทำผลตอบแทนได้ดีกว่า สะท้อนชัดว่าสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังสูญเสียความโดดเด่น แมคโกลนย้ำว่า ความสัมพันธ์ของบิทคอยน์กับตลาดทุนกว้างขวางขึ้น โดยค่า correlation 48 เดือนกับ S&P 500 อยู่ที่ระดับ 0.6 แสดงถึงการเปลี่ยนสถานะจาก “สินทรัพย์เก็บมูลค่า” สู่ “สินทรัพย์เสี่ยง” ที่เคลื่อนไหวตามตลาดหุ้น
อีกหนึ่งสัญญาณที่น่ากังวลคือความผันผวน เมื่อเดือนสิงหาคม ดัชนี VIX ลดลงแตะ 14.2 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดของปี ขณะที่บิทคอยน์ทะยานขึ้นทำจุดสูงใหม่ แต่ไม่นานหลังจากนั้น ความผันผวนก็พุ่งกลับขึ้น สะท้อนว่าตลาดอาจกำลังเข้าสู่ช่วง “กลับทิศ” ซึ่งทองคำยังคงได้เปรียบในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเหนือบิทคอยน์และคริปโตประเภทอื่น
ความฝัน “บิทคอยน์ล้านดอลลาร์” ไกลเกินจริง
เมื่อถูกถามถึงโอกาสที่ราคาบิทคอยน์จะพุ่งแตะ 1 ล้านดอลลาร์ แมคโกลนปฏิเสธทันที เขาอธิบายว่าบริบทตลาดวันนี้ต่างจากอดีตโดยสิ้นเชิง ช่วงที่บิทคอยน์อยู่ใกล้ 10,000 ดอลลาร์ บรรยากาศการลงทุนเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและมุมมองเชิงลบ ซึ่งสร้างเงื่อนไขเหมาะสมสำหรับการทะยานในระยะยาว แต่เมื่อทะลุ 100,000 ดอลลาร์แล้ว ตลาดกลับเต็มไปด้วยนักลงทุนฝั่งซื้อ ทำให้แรงขับเคลื่อนขึ้นต่อแทบไม่เหลือ
"การเปิดรับเก็งกำไรจำนวนมหาศาลที่ถาโถมเข้ามา กลายเป็นน้ำหนักที่ฉุดรั้ง ไม่ใช่แรงส่ง บิทคอยน์จึงเสี่ยงสูงที่จะเผชิญการปรับฐานรุนแรง มากกว่าที่จะก้าวเข้าสู่การเติบโตแบบทวีคูณดังที่หลายคนฝัน" แมคโกลน กล่าวทิ้งท้าย