รัฐบาลย้ำเตือนประชาชนพิจารณาความเสี่ยงรอบด้าน กรณีชักชวนสแกนม่านตาแลกเงิน 500-1,000 บาท กระตุ้นความตื่นตัวด้านความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคล แม้เบื้องต้นยังไม่พบการกระทำผิดกฎหมาย แต่ภัยจากการรั่วไหลของข้อมูลชีวภาพอาจนำไปสู่การสวมรอยหรืออาชญากรรมไซเบอร์ขั้นสูง เช่น การสร้าง Deepfake ที่ยากต่อการตรวจจับ ขณะที่หน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งประสานกำหนดมาตรการควบคุมเข้มงวด
วันที่ 27 สิงหาคม 2568 นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาเปิดเผยถึงกรณีที่มีการชักชวนประชาชนในหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทยให้สแกนม่านตาเพื่อแลกรับเงินสด 500-1,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแลกเปลี่ยนเป็นเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี ผู้ที่เข้าร่วมจะได้รับค่าตอบแทน 1,000 บาทภายใน 24 ชั่วโมง ขณะที่ผู้แนะนำสมาชิกจะได้เงินเพิ่ม 500 บาทต่อราย สูงสุดไม่เกิน 10 ราย
จากการตรวจสอบเบื้องต้นโดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) ร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) พบว่า การดำเนินการดังกล่าวในปัจจุบันยังคงอยู่ในกรอบของกฎหมาย และมีลักษณะคล้ายคลึงกับแนวปฏิบัติในหลายประเทศ
"ในยุคที่เทคโนโลยีชีวภาพก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การใช้ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ม่านตา เพื่อแลกผลประโยชน์ทางการเงิน กำลังกลายเป็นประเด็นที่ทั้งน่าสนใจและน่ากังวล" นายอนุกูล กล่าว
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมิได้นิ่งนอนใจ โดยได้ประสานงานกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดมาตรการควบคุมข้อมูลชีวภาพที่มีความอ่อนไหวสูง พร้อมย้ำว่า หากพบการละเมิดหรือนำข้อมูลไปใช้ในทางมิชอบ จะดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเฉียบขาด
นอกจากนี้นายอนุกูล เน้นย้ำถึงความสำคัญของการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลทางชีวภาพ ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่มีความอ่อนไหวในระดับสูงสุด ประชาชนควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนยินยอมให้มีการเก็บหรือสแกนข้อมูลม่านตา โดยชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงสำคัญ 3 ประการ ดังนี้
1.การรั่วไหลของข้อมูลข้อมูลม่านตาที่ถูกแปลงเป็นรหัส Iris Code หากถูกแฮกเกอร์หรือผู้ไม่ประสงค์ดีเข้าถึง อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การปลอมแปลงตัวตน หรือการเข้าถึงระบบที่มีความปลอดภัยสูงในอนาคต การรั่วไหลของข้อมูลชีวภาพนี้ยากต่อการแก้ไข เนื่องจากม่านตาเป็นลักษณะเฉพาะที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เหมือนรหัสผ่าน
2.การถูกสวมรอยข้อมูลม่านตาเปรียบเสมือนกุญแจสู่ข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ หากตกอยู่ในมือมิจฉาชีพ อาจนำไปสู่การสวมรอยเพื่อทำธุรกรรมทางการเงิน การเข้าถึงบัญชีธนาคาร หรือบริการดิจิทัลต่าง ๆ ที่ใช้การยืนยันตัวตนด้วยชีวภาพ ซึ่งอาจสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล
3.การสร้าง Deepfakeในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ข้อมูลชีวภาพสามารถถูกนำไปใช้ในการสร้าง Deepfake หรือเนื้อหาปลอมแปลงที่มีความสมจริงสูง เช่น การปลอมแปลงภาพหรือวิดีโอเพื่อใช้ในกิจกรรมฉ้อโกงหรืออาชญากรรมไซเบอร์ที่ยากต่อการตรวจจับ ส่งผลกระทบต่อทั้งบุคคลและสังคมในวงกว้าง
อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว รัฐบาลเรียกร้องให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังและตระหนักถึงผลกระทบจากการให้ข้อมูลส่วนบุคคล โดยเฉพาะข้อมูลชีวภาพที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ พร้อมทั้งแนะนำให้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการและเงื่อนไขการใช้งานอย่างถี่ถ้วน การที่ยังไม่พบผู้เสียหายในขณะนี้มิได้หมายความว่าประชาชนจะวางใจได้เต็มที่ ตรงกันข้าม การตื่นตัวและการปกป้องข้อมูลส่วนตัวคือเกราะป้องกันภัยในยุคดิจิทัลที่ทวีความซับซ้อนยิ่งขึ้น
ทั้งนี้กรณีที่เกิดขึ้นนี้สะท้อนถึงความท้าทายของประเทศไทยในการก้าวสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มตัว ขณะที่เทคโนโลยีนำมาซึ่งโอกาสมหาศาล ความเสี่ยงที่มากับความสะดวกสบายก็ไม่อาจมองข้ามได้ การสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความปลอดภัยจึงเป็นภารกิจสำคัญที่ทั้งภาครัฐและประชาชนต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง