กรมควบคุมโรค โดยสำนักความร่วมมือระหว่างประเทศ และเครือข่าย เดินหน้ายกระดับการใช้เทคโนโลยีไบโอเมตริกเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของแรงงานต่างด้าวให้เป็นหนึ่งเดียวทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายให้แรงงานต่างด้าวเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างเหมาะสม ลดความเสี่ยงในการใช้สิทธิซ้ำซ้อน และสนับสนุนการบริหารจัดการด้านสาธารณสุขในระยะยาว
ที่ประชุมเชิงปฏิบัติการ “A Technical Workshop on Integrating Biometric Data for Public Health and Disease Control” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-15 สิงหาคม 2568 ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ได้สรุปแนวทางการขับเคลื่อนสำคัญร่วมกัน
นางเกษณี ศรีรักษา รองผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมควบคุมโรคกล่าวว่าระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลของสภากาชาดไทย (TRCBAS) ซึ่งใช้เทคโนโลยีการจดจำลายม่านตาและใบหน้า ได้เริ่มนำร่องใช้งานมาตั้งแต่ปี 2566 ใน 5 จังหวัด ปัจจุบันขยายไปยังโรงพยาบาลกว่า 160 แห่งใน 25 จังหวัดโดยมีแรงงานต่างด้าวได้รับการพิสูจน์อัตลักษณ์แล้วกว่า 260,000 คน
“แม้ระบบจะมีความแม่นยำสูง แต่ยังพบข้อจำกัดในการเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบปฏิบัติการของโรงพยาบาล ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มศักยภาพ การประชุมครั้งนี้จึงมีเป้าหมายสำคัญคือการผลักดันให้โรงพยาบาลทั่วประเทศใช้การพิสูจน์อัตลักษณ์ทั้ง 3 รูปแบบ ทั้งลายม่านตา ลายนิ้วมือ และใบหน้า เพื่อวางรากฐานให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ” นางเกษณีกล่าว
ด้านนายแพทย์พิชิต ศิริวรรณ รองผู้อำนวยการสำนักบรรเทาทุกข์และประชานามัย สภากาชาดไทย ประธานการประชุมวันที่ 15 สิงหาคม 2568 กล่าวว่า หัวใจสำคัญของการยกระดับครั้งนี้คือการสร้าง "เลขประจำตัวเพียงหนึ่งเดียว" ให้กับแรงงานต่างด้าวแต่ละคน เพื่อให้โรงพยาบาลสามารถตรวจสอบสิทธิการรักษาได้ทันที แม้แรงงานจะย้ายสถานที่ทำงานหรือเปลี่ยนโรงพยาบาลที่ประชุมจึงได้กำหนด4มิติเร่งรัดที่ทุกภาคส่วนเห็นพ้องต้องกันเพื่อผลักดันจากนี้ คือ
1.เชื่อมโยงระบบ:เร่งเชื่อมต่อระบบปฏิบัติการของโรงพยาบาลทุกแห่งให้ใช้งานร่วมกับระบบ TRCBAS หรือ BioID ของกระทรวงสาธารณสุขได้
2.ผลักดันเลขประจำตัวใหม่:ส่งเสริมการใช้เลขประจำตัวใหม่ของแรงงานต่างด้าวที่ได้จากระบบ BioID จากการพิสูจน์อัตลักษณ์ทั้ง 3 รูปแบบ ( ม่านตา ลายนิ้วมือ ใบหน้า )
3.ขยายการใช้งานเครื่องสแกนม่านตา:ผลักดันให้ทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศมีและใช้งานเครื่องสแกนม่านตา เพื่อให้การพิสูจน์อัตลักษณ์มีความแม่นยำและเป็นมาตรฐานเดียวกัน
4.ทำงานเชิงรุก:ทำงานร่วมกับเครือข่ายภาคประชาสังคมในรูปแบบ Community Based เพื่อเข้าถึงแรงงานในพื้นที่ได้อย่างทั่วถึง
“การที่โรงพยาบาลใช้ระบบพิสูจน์อัตลักษณ์ที่แตกต่างกันทำให้เกิดปัญหาข้อมูลซ้ำซ้อน เมื่อแรงงานย้ายที่ก็จะหาประวัติไม่เจอ ทำให้ต้องมีเลขประจำตัวหลายเลข ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่เราต้องการแก้ไข” นายแพทย์พิชิตย้ำ และกล่าวเสริมว่า “หากโรงพยาบาลทุกแห่งใช้ระบบที่รองรับการพิสูจน์อัตลักษณ์ทั้ง 3 รูปแบบ จะช่วยให้แรงงานต่างด้าวมีเลขประจำตัวเพียงหนึ่งเดียว เหมือนกับคนไทย ทำให้การตรวจสอบสิทธิการรักษาทำได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องไม่ว่าจะไปรับบริการที่ใด”
นายจิตรภาณุ ศรีเดช หัวหน้ากลุ่มนวัตกรรมและวิจัย สำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมควบคุมโรคกล่าวปิดท้ายว่า ข้อสรุปและข้อคิดเห็นจากการประชุมทั้งหมดนี้จะถูกนำไปเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนงานด้านสาธารณสุขและการควบคุมโรคให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เป็นการเตรียมความพร้อมของทุกหน่วยงานเพื่อรองรับกับนโยบายในอนาคต