นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมพิจารณาผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ สำหรับช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะเป็นมาตรการทางภาษีเพื่อกระตุ้นการบริโภคเป็นหลัก ส่วนมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ก็ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาด้วยเช่นกัน และยืนยันว่าทั้งหมดนี้จะได้เห็นความชัดเจนภายในไตรมาส 4/68 อย่างแน่นอน
"มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี มีแน่นอน ตอนนี้ยังหารือกันอยู่ ซึ่งจะเป็นมาตรการภาษีสำหรับกระตุ้นการบริโภค รวมถึงกระตุ้นการท่องเที่ยวก็คุยกันอยู่ แต่คงพูดรายละเอียดไปก่อนไม่ได้ ยืนยันว่าสุดท้ายจะมีมาตรการออกมาแน่นอน ในจังหวะเวลาที่เหมาะสม" รมช.คลัง ระบุ
ส่วนความคืบหน้าของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 นั้น นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ขณะนี้กระบวนการในชั้นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรได้เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ จะเป็นกระบวนการในชั้นของวุฒิสภาที่จะนัดพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ในวันที่ 1-2 ก.ย.นี้ โดยยืนยันว่ากระบวนการในการพิจารณางบประมาณรายจ่ายฯ ปี 2569 จะแล้วเสร็จทันประกาศใช้ในวันที่ 1 ต.ค.68 แน่นอน
รมช.คลัง ยังกล่าวถึงมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ว่า ขณะนี้รัฐบาลได้เตรียมรายละเอียดของโครงการต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะมาตรการด้านการเงิน คือ มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ซึ่งจะดำเนินการผ่านกลไกของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และมีกลไกตามวิธีการงบประมาณ โดยผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การใช้งบกลางเพื่อเข้าไปให้ความช่วยเหลือโดยตรง ซึ่งมาตรการต่าง ๆ เหล่านี้ จะออกมาในจังหวะเวลาที่เหมาะสม
ส่วนความคืบหน้าเกี่ยวกับการจัดสรรงบกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งมีการจัดสรรเม็ดเงินไปแล้ว 1.15 แสนล้านบาทนั้น ขณะนี้หน่วยงานที่รับงบประมาณ ได้ดำเนินการผูกพันงบประมาณแล้วเสร็จไป 1.1 แสนล้านบาท ยังเหลืออีก 5 พันล้านบาทที่ดำเนินการไม่ทัน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะโครงการมีความซ้ำซ้อน และหน่วยงานไม่สามารถผูกพันงบประมาณได้ทัน เนื่องจากมีเวลาจำกัดแค่ 1 เดือน ซึ่งในส่วนนี้อาจมีการพิจารณาโอนไปเพื่อลดภาระให้กับหน่วยงานของรัฐ ผ่านมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งถือเป็นการใช้เม็ดเงินที่เป็นประโยชน์อีกมิติหนึ่ง
อย่างไรก็ดี สำหรับเม็ดเงินที่เหลือจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจอีก 2.6 หมื่นล้านบาทนั้น ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ) ได้มีมติให้โยกงบในส่วนนี้ไปเป็นงบกลางรายจ่ายกรณีฉุกเฉิน ซึ่งจะอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของสำนักงบประมาณ ซึ่งเชื่อว่าจะมีวิธีการอยู่แล้วว่าจะบริหารจัดการงบในส่วนนี้อย่างไรให้ทันภายในเวลา 1 เดือนที่เหลือก่อนสิ้นสุดปีงบประมาณ 68 แต่มองว่าคงเป็นไปได้ยากที่จะนำงบในส่วนนี้ไปใช้ดำเนินการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเหมือนที่ผ่านมา
รมช.คลัง ยังกล่าวถึงกรณีที่ประเทศเวียดนาม เตรียมเดินหน้าลงทุนโครงการ Entertainment Complex วงเงิน 6 หมื่นล้านบาท ว่า เรื่องนี้เป็นเทรนด์ของโลก ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ โดยในส่วนของประเทศไทยยังมีเสียงคัดค้านในหลายส่วน ก็ต้องทำความเข้าใจกันไป แต่ยอมรับว่าในส่วนของประเทศไทย คงยังไม่มีการหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาหารือกันในช่วงนี้ เนื่องจากสถานการณ์การเมืองขณะนี้ยังไม่เอื้ออำนวย
"อาจจะรู้สึกเสียดาย ว่าทำไมประเทศไทยยังไม่เริ่ม แต่สิ่งหนึ่งที่ชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจน คือ ศักยภาพของประเทศไทยไม่ได้หายไป ซึ่งหากประเทศไทยกลับมาเดินหน้าเรื่องนี้ ก็ยังเชื่อมั่นว่าจะสามารถดึงเม็ดเงินลงทุนได้ไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาทอย่างแน่นอน" นายจุลพันธ์ ระบุ
ส่วนกรณีโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งขณะนี้ กฎหมายที่เกี่ยวข้องบางฉบับยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาฯ ซึ่งอาจจะทำให้ไม่สามารถเริ่มโครงการได้ทันในวันที่ 1 ต.ค.68 และ รมว.คมนาคม ระบุว่าอาจจะเสนอขอใช้งบกลาง หากกฎหมายยังไม่ผ่านการพิจารณาจากสภาฯ นั้น รมช.คลัง มองว่า บริษัทเอกชนที่ให้บริการรถไฟฟ้ามีศักยภาพในการดำเนินการ และสามารถแบกรับภาระเรื่องนี้บางส่วนได้ในช่วงต้น และหลังจากนั้น รัฐบาลจะต้องมาดูเรื่องการชดเชยว่าควรเป็นอย่างไร
"ในการพิจารณางบประมาณในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการแปรญัตติงบประมาณเพิ่มเติมในส่วนนี้ราว 3,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อดำเนินการจริง อาจจะยังไม่พอ สุดท้ายจะขาดเท่าไร รัฐบาลจะต้องหากลไกในการจัดสรรเม็ดเงินเข้าไปรองรับเพิ่มเติม" นายจุลพันธ์ ระบุ