xs
xsm
sm
md
lg

สภาพัฒน์ ปรับเพิ่ม GDP ปี 68 โต 2% ชี้ "ลงทุน-บริโภค" เป็นแรงเคลื่อน ศก.ไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า (สภาพัฒน์) ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP) ไทย ในปี 2568 เป็น 1.8-2.3% (ค่ากลางอยู่ที่ 2.0%) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากที่เคยประมาณการไว้เดิมเมื่อเดือนพ.ค.68 ที่ 1.3-2.3% (ค่ากลางอยู่ที่ 1.8%)

โดยเหตุผลสำคัญที่ปรับประมาณการ GDP เพิ่มขึ้นนั้น มาจากสถานการณ์ด้านการส่งออก และการลงทุนภาคเอกชนในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้น การผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการผลิตเพื่อเร่งส่งออกสินค้าไปยังประเทศปลายทาง ก่อนที่มาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ในเดือนส.ค.68

นอกจากนี้ การปรับประมาณการ GDP เพิ่มขึ้น ยังมีสาเหตุจากที่ขณะนี้มีความชัดเจนในเรื่องของอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariff) ที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บจากสินค้าไทยในอัตรา 19% ซึ่งอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอาเซียน จึงทำให้ในภาพรวมแล้วเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ จะสามารถขยายตัวได้ดีกว่าที่เคยประมาณการไว้เดิมเมื่อตอนเดือนพ.ค.68

ทั้งนี้ ในการประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ที่คาดว่าจะเติบโต 1.8-2.3% นั้น มาจากสมมติฐานที่สำคัญ ดังนี้

1. การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปีนี้ ที่ 3.0%

2. การขยายตัวของปริมาณการค้าโลกปีนี้ ที่ 2.7%

3. อัตราแลกเปลี่ยน ที่ระดับ 32.50-33.50 บาท/ดอลลาร์

4. ราคาน้ำมัน เฉลี่ยทั้งปีที่ 65.0-75.0 ดอลลาร์/บาร์เรล

5. รายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.57 ล้านล้านบาท

*ลงทุนรัฐ-เอกชน, บริโภคในประเทศ แรงเคลื่อนศก.ไทยช่วงที่เหลือ

เลขาธิการสภาพัฒน์ ยังมองว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ การลงทุนของภาครัฐ และการลงทุนของภาคเอกชน รวมทั้งการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ซึ่งทำให้มีความจำเป็นที่ภาครัฐต้องเร่งปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ ด้านการค้าการลงทุนให้เอื้อต่อการอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนทั้งของไทยและต่างประเทศ เพื่อช่วยให้ภาคการลงทุน และการส่งออกของไทยสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความไม่แน่นอนในเรื่องของมาตรการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะกรณีอัตราภาษีเฉพาะเจาะจง (Specific tariff) ที่ยังคงมีอยู่

ขณะเดียวกัน จะต้องเร่งส่งเสริมและทำการตลาดกับกลุ่มนักท่องเที่ยวระยะไกล โดยสร้างกิจกรรมใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามามากขึ้น รวมทั้งการดูแลด้านความปลอดภัยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติให้มากขึ้นด้วย

นายดนุชา ยังประเมินว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/68 จะยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง เพียงแต่อาจจะเติบโตได้ต่ำกว่าช่วง 2 ไตรมาสแรกที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ยังไม่ได้รวมเรื่องปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองไว้ในประมาณการใหม่ เนื่องจากมองว่าขณะนี้กระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ใกล้จะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจได้ตามปกติ

ส่วนสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชานั้น เชื่อว่าจะไม่ส่งผลต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทย เนื่องจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจะอยู่ในวงจำกัดภายในพื้นที่ตามแนวชายแดน ซึ่งไม่ได้อยู่ในพื้นที่ของภาคการผลิตสำคัญ ส่วนกรณีการขาดแคลนแรงงานกัมพูชาในบางกิจการนั้น ก็สามารถดึงแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านอื่นเข้ามาช่วยทดแทนได้ ดังนั้นเชื่อว่าผลกระทบกรณีความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา จะไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ

กางปัจจัยหนุน-ปัจจัยเสี่ยง ในปี 68


*ปัจจัยหนุน :

1. การเพิ่มขึ้นของแรงสนับสนุนจากรายจ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน ซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี และงบประมาณรายจ่ายเหลื่อมปี ประจำปีงบประมาณ 2568

2. การขยายตัวของการอุปโภค-บริโภคในประเทศ ตามแนวโน้มการขยายตัวของการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทน และหมวดบริการ อัตราว่างงาน และอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงการปรับลดลงของอัตราดอกเบี้ย

3. การปรับตัวดีขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร และหมวดยานพาหนะ สอดคล้องกับการเร่งขึ้นของประมาณการนำเข้าสินค้าทุน และสินค้าวัตถุดิบขั้นกลาง รวมถึงการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของการขอรับการส่งเสริมการลงทุน และพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม

*ปัจจัยเสี่ยง :

1. ผลกระทบจากการดำเนินมาตรการภาษีศุลกากรนำเข้าของสหรัฐฯ ผ่านผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกสินค้าของไทย และผลกระทบจากการลดลงของความต้องการสินค้าที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต และผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าที่เร่งตัวสูงขึ้นก่อนที่มาตรการภาษีของสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้

2. ภาระหี้สินครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ภายใต้มาตรฐานสินเชื่อที่มีความเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งแม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนล่าสุด จะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 87.4% ต่อ GDP แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในระดับที่สูง ซึ่งจำเป็นต้องมีมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ และการใช้ข้อมูลแวดล้อมในการพิจารณาความเสี่ยงของผู้กู้ให้มากขึ้น ขณะที่คุณภาพสินเชื่อครัวเรือน และคุณภาพสินเชื่อภาคธุรกิจ SME มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการให้สินเชื่อ

3. การชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ราว 33 ล้านคน จากประมาณการเดิมที่ 37 ล้านคน โดยเป็นการลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติในกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short-haul) โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีนเป็นสำคัญ ซึ่งคาดว่าปีนี้นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าไทยจะอยู่ที่ราว 4 ล้านคน จากเดิมคาดไว้ 6 ล้านคน แต่ในส่วนของค่าใช้จ่ายรายหัวของนักท่องเที่ยว คาดว่าจะดีขึ้นมาอยู่ที่ 47,000-48,000 บาท/คน

4. ความผันผวนของราคาและผลผลิตภาคเกษตร ซึ่งการที่ผลผลิตทางการเกษตรมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น จะสร้างแรงกดดันให้ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลดลง ขณะเดียวกัน ยังมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับปัญหาอุทกภัยในช่วงปลายปีนี้

5. ความผันผวนของเศรษฐกิจ และปริมาณการค้าโลก โดยมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญ ความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ และความเสี่ยงของเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา และเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่

*เร่งปรับโครงสร้าง เพื่อให้ศก.ไทยกลับมาเติบโตในระดับศักยภาพ

เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตได้ในระดับ 2% นั้น ยังถือว่าเติบโตต่ำกว่าศักยภาพที่ระดับ 3% กว่าขึ้นไป ซึ่งการจะทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโตอยู่ในระดับศักยภาพอาจจำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีก 2-3 ปี โดยจำเป็นต้องเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยก็มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เพื่อเร่งให้เกิดการปรับโครงสร้างการผลิตใหม่ในประเทศ และส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของไทย

ขณะเดียวกัน กรณีภาษี Reciprocal tariff ที่สินค้าไทยจะถูกเรียกเก็บจากสหรัฐฯ นั้น หากมองอีกมุมหนึ่ง จะถือเป็นการโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่จะเร่งปรับโครงสร้างการผลิตของประเทศ และสร้าง supply chain ให้กว้างขวางขึ้น ตลอดจนการนำเทคโนโลยีการผลิตใหม่ ๆ ที่ทันสมัยมาใช้ ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยในระยะอีก 2-3 ปีข้างหน้าเติบโตได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ในเรื่องของผลิตภาพแรงงานจะต้องมีการปรับเปลี่ยน และสร้างประสิทธิภาพแรงงานไทยในสาขาต่าง ๆ ที่ใช้กับเทคโนโลยีการผลิตในขั้นสูง ปรับปรุงระบบการผลิตเพื่อลดต้นทุนสินค้า ซึ่งทั้งหมดนี้ จะทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถกลับมาเติบโตได้ตามศักยภาพที่ควรจะเป็น โดยต้องเป็นความร่วมมือกันทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน


*แนะบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 68

1. การดำเนินการเพื่อลดผลกระทบที่เกิดจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และมาตรการตอบโต้ของประเทศสำคัญ ประกอบด้วย

(1) การขยายตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ (2) การยกระดับการตรวจสอบและเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิด (Rule of origin) เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์ทางการค้า (3) การตรวจสอบและเฝ้าระวังการทุ่มตลาดและการใช้นโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรม เพื่อลดผลกระทบจากการทะลักของสินค้านำเข้า (4) การส่งเสริมให้ภาคธุรกิจบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน

2. การขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชน โดยให้ความสำคัญกับการเร่งรัดนักลงทุนที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2566 -2568 ให้เกิดการลงทุนจริงโดยเร็ว การทบทวนสิทธิประโยชน์เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมเป้าหมาย

3. การสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่อง โดยมุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะกลุ่มพำนักระยะยาว

4. การให้ความช่วยเหลือทางการเงินให้แก่ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ที่ประสบปัญหาด้านการเข้าถึงสภาพคล่อง และได้รับผลกระทบซ้ำเติมจากมาตรการกีดกันทางการค้า ผ่านมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ สินเชื่อเพื่อการปรับตัว (Transformation Loan) และการส่งเสริมสินเชื่อเครือข่ายธุรกิจเพื่อช่วยเสริมสภาพคล่อง

5. การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้เม็ดเงินรายจ่ายภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ไม่ให้ต่ำกว่า 65% ของกรอบงบลงทุนรวม

6. การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร โดยเฉพาะในฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่มีผลผลิตออกสู่ตลาดในปริมาณมาก จนส่งผลกระทบต่อราคาและรายได้เกษตรกร โดยให้ความสeคัญกับการวางแผนด้านการตลาด โดยเฉพาะการเพิ่มช่องทางการจัดจeหน่าย และการชะลอผลผลิตเข้าสู่ตลาด ควบคู่ไปกับการเตรียมการรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ


กำลังโหลดความคิดเห็น