xs
xsm
sm
md
lg

วิจัยกสิกรฯส่องข้อมูลหนี้ธุรกิจไทยพบกลุ่มไซส์เล็ก SM ยังเพิ่ม-ห่วงเศรษฐกิจซบซ้ำเติม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศูนย์วิจัยกสิกรไทยส่องข้อมูลบัญชีลูกหนี้ธุรกิจจากฐานข้อมูลของบริษัท เครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) ไตรมาส 1/2568 พบลูกค้าธุรกิจยิ่งมีขนาดเล็ก ยิ่งมีปัญหาหนี้เอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นชัดกว่ากลุ่มอื่น ๆ ขณะที่อานิสงส์จากการปรับโครงสร้างหนี้ตามเกณฑ์ Responsible Lending (RL) และแนวทางดูแลคุณภาพหนี้เชิงรุกของสถาบันการเงิน ทำให้สัดส่วนหนี้ค้างชำระ 1-30 วัน หรือ Stage 1 มีทิศทางที่ปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 เป็นต้นมา ย้ำการแก้ปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพของธุรกิจที่ยั่งยืน ต้องอาศัยเงื่อนไขเศรษฐกิจมหภาคที่เอื้ออำนวย เพื่อช่วยให้ธุรกิจไทยแข่งขันได้ มีความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว

นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด
กล่าวว่า ในไตรมาส 2/2568 ภาพรวมหนี้เสียของระบบธนาคารพาณิชย์ 9 แห่งที่เปิดเผยสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีเอ็นพีแอลที่ขยับสูงขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีตัวเลขสินเชื่อ Stage 3 (NPL)ที่ 3.6% และมีสินเชื่อ Stage 2 ที่มีการค้างชำระ 30-90 วัน(SM)ที่ 7.17% ทั้งนี้ หากเจาะลึกฐานข้อมูลบัญชีลูกหนี้ธุรกิจของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) ซึ่งเป็นข้อมูลไตรมาส 1/2568 พบว่า แม้ทิศทางหนี้ที่มีปัญหา (Stage 2 และ Stage 3) จะทรงตัวจากช่วงปลายปี 2567 ที่ 5.03% จากไตรมาส 4 ที่ 5.02% แต่ก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 2/2566 ซึ่งเป็นช่วง 1 ปีนับจากมีการเปิดประเทศหลังโควิด โดยสัดส่วน หนี้ Stage 2 มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ยังพบว่าลูกค้าธุรกิจยิ่งมีขนาดเล็ก ยิ่งมีปัญหาหนี้เอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นชัดกว่ากลุ่มอื่น ๆ โดยในกลุ่ม Super Micro เอ็นพีแอลมีสัดส่วนสูงถึง 14.81% ของสินเชื่อรวม ตามมาด้วยกลุ่ม Micro ที่ 12.11% และกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก ที่ 9.75% ในขณะที่กลุ่มธุรกิจขนาดกลางและใหญ่ จะอยู่ที่ 6.51% และ 1.37% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ตามเกณฑ์ Responsible Lending (RL) และแนวทางดูแลคุณภาพหนี้เชิงรุกของสถาบันการเงิน ทำให้สัดส่วนหนี้ค้างชำระ 1-30 วัน มีทิศทางที่ปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 เป็นต้นมา

"แม้ว่าภาพรวมหนี้ Stage 2-3 จะทรงตัวจากการเร่งปรับโครงสร้างหนี้-เศรษฐกิจที่ขยายตัวสูงกว่า 3%ต่อเนื่อง 3 ไตรมาส แต่จากการตัวเลขรวมของการผิดนัดชำระหนี้ในไตรมาสแรกปี 68 นั้น มีสัดส่วนของ Stage 2 เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก และ Micro and Super Micro ขณะที่แนวโน้มในระยะต่อไปที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง ประกอบกับกลุ่มเอสเอ็มอีขนาดเล็กยังมีความเปราะบาง ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจยังคงไม่ปกติจากเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่ทั่วถึง จึงอาจทำให้ยอดผิดนัดชำระหนี้ใน Stage 2 ไหลไปสู่ Stage 3 หรือเป็น NPL มากขึ้น"

นายกฤษฏิ์ แก้วหิรัญ นักวิจัยอาวุโส บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า หากวิเคราะห์ข้อมูลคุณภาพหนี้จำแนกตามประเภทธุรกิจพบว่า ธุรกิจที่เชื่อมโยงกับกำลังซื้อของตลาดในและต่างประเทศ เช่น ภาคการผลิตและกลุ่มที่พักแรม ความน่ากังวลจะอยู่ที่ธุรกิจขนาดกลางที่มีสัดส่วนหนี้ค้างชำระเกิน 30 วันขึ้นไป อยู่ในระดับสูงที่สุด และส่วนที่เป็นธุรกิจเอสเอ็มอีรายเล็ก-ย่อย เริ่มเห็นภาพหนี้ค้างชำระที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจที่เชื่อมโยงกับกำลังซื้อของตลาดในประเทศ เช่น ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก พบว่าคุณภาพหนี้ที่ด้อยลงในกลุ่มเอสเอ็มอีรายเล็ก-ย่อยในช่วงก่อนหน้านี้ ได้ขยายมาสู่ธุรกิจขนาดกลางมากขึ้น ส่วนธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ภาพลบจะขยายมาถึงธุรกิจขนาดใหญ่ด้วย ซึ่งด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น ทั้งจากผลของการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่กระทบการส่งออก และภาพกำลังซื้อในประเทศที่ซบเซา อาจทำให้แนวโน้มความสามารถในการชำระหนี้ของประเภทธุรกิจต่าง ๆ ข้างต้น มีโอกาสถดถอยลงอีกในไตรมาสที่เหลือของปีนี้

ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ผลจากการจัดกลุ่มบัญชีสินเชื่อธุรกิจใหม่ตามลักษณะพฤติกรรมการชำระหนี้ของลูกหนี้ในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา ออกเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย สถานะปกติ (Good) เริ่มไม่ปกติ (Newly Impaired) ดีสลับแย่ (On-Off) และ มีปัญหารุนแรง (Distressed) พบว่า 95% ของจำนวนบัญชีสินเชื่อธุรกิจ ยังจัดอยู่ในกลุ่มสถานะปกติ แต่จุดที่น่าสนใจคือ สัดส่วนจำนวนบัญชีที่จัดอยู่ในกลุ่มสถานะปกตินี้เริ่มทยอยลดลงในช่วงหลังโควิด ขณะที่ กลุ่มดีสลับแย่และกลุ่มที่มีปัญหารุนแรง เพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ ภาพดังกล่าว สะท้อนผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจหลายระลอกที่กระทบความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจไทย โดยธุรกิจยิ่งเล็ก ยิ่งมีสัดส่วนของบัญชีสินเชื่อกลุ่มสถานะปกติลดลงเมื่อเวลาผ่านไป นอกจากนี้ แม้การปรับโครงสร้างหนี้จะมีส่วนช่วยชะลอการไหลลงไปสู่ชั้นหนี้เสีย แต่การปรับโครงสร้างหนี้ จะ 'มีประสิทธิผลที่สุด' ในการช่วยฟื้นธุรกิจ ก็ต่อเมื่อเข้าไปดูแลตั้งแต่ธุรกิจ 'เริ่ม' มีสัญญาณการค้างชำระ ไม่ใช่เข้าไปดูแลหลังจากที่กลายเป็นเอ็นพีแอลไปแล้ว เพราะโอกาสการฟื้นตัวของหนี้เอ็นพีแอลกลับมาสู่การจัดชั้นที่ดีขึ้น (ภายในกรอบระยะเวลา 1 ปีหลังจากปรับโครงสร้างหนี้) จะมีไม่ถึง 10% แต่หากดูตัวเลขการปรับโครงสร้างหนี้ในช่วงการผิดนัดชำระหนี้ในระยะ 31-60 วันจากจำนวน 29,079 บัญชี พบว่ามีอัตราประสบความสำเร็จสามารถฟื้นตัวกลับสู่ Stage 1 ได้ 35.1% และไม่สำเร็จลงไปสู่ Stage 3(Migration Rate)ที่ 11.8%

**แนะเพิ่มมาตรการดูแล**
นางสาวธัญญลักษณ์กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่ามาตรการดูแลหนี้ที่มีอยู่นั้นถือว่ามีความครอบคลุมทุกสถานะของลูกหนี้อยู่แล้วทั้งในกลุ่มของก่อนเป็น NPL เช่น มาตรการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ, การประกันสินเชื่อ หรือการให้ความรู้ รวมถึงกลุ่มที่เป็น NPL แล้ว ก็จะมีมาตรการ ปรับโครงสร้างหนี้ อาทิ โครงการคุณสู้ เราช่วย, มหกรรมไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เป็นต้น แต่ศูนย์กสิกรไทยเสนอแนะเพิ่มเติมว่า ทางการไทยควรจัดวางมาตรการดูแลหนี้ให้เหมาะสมกับลักษณะการชำระหนี้ของแต่ละกลุ่มลูกค้า โดยอาจเพิ่มนโยบายสนับสนุนการปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ชั่วคราวให้กับลูกค้าปกติที่ยังไม่ผิดนัดชำระหนี้และเล็งเห็นปัญหาของธุรกิจตนตั้งแต่เนิ่น ๆ รวมถึงอาจเตรียมทำโครงการ Asset Warehousing รอบใหม่ อันถือเป็นมาตรการเชิงรุกก่อนที่ลูกหนี้จะกลายเป็นเอ็นพีแอล ขณะที่ เมื่อลูกหนี้กลายเป็นเอ็นพีแอลแล้ว สิ่งที่ควรทำคือส่งเสริมกระบวนการนอกศาล (Out-of-Court Workouts) เช่น ตีโอนทรัพย์จบหนี้ โดยทางการสามารถช่วยสนับสนุนผ่านการลดค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องได้ อาทิ ค่าธรรมเนียมการโอนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งปลูกสร้างและที่ดิน เป็นต้น

นอกจากนี้ เนื่องจากเมื่อลูกหนี้มีวันค้างชำระนานขึ้น โอกาสจะตกชั้นลึกลงย่อมมีมากกว่าการฟื้นคืนชีพมาเป็นหนี้ดี ดังนั้น หากกระบวนการทางกฎหมายมีระยะเวลาพิจารณาคดีทางกฎหมายที่เร็วขึ้น ก็น่าจะช่วยให้ลูกหนี้และเจ้าหนี้เห็นความชัดเจนเร็วขึ้น ลูกหนี้จะได้เริ่มธุรกิจใหม่เร็วขึ้นด้วย รวมถึงควรเพิ่มทางเลือกให้ลูกหนี้ผ่อนสินทรัพย์รอการขายของตนเองได้เป็นลำดับแรก ๆ ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้กับลูกหนี้ที่ฟื้นฟูตัวเองได้ไว สามารถกลับมาเป็นเจ้าของทรัพย์เดิมได้ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แนวทางแก้หนี้ต่าง ๆ ดังกล่าว เป็นการฟื้นฟูธุรกิจเฉพาะหน้าเท่านั้น การแก้วังวนของปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพของธุรกิจที่ถาวรขึ้น ต้องอาศัยเงื่อนไขเศรษฐกิจมหภาคที่เอื้ออำนวย เพื่อช่วยให้ธุรกิจไทยแข่งขันได้ มีความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว จึงจะเป็นการจัดการอย่างยั่งยืนแท้จริง

"มาตรการของภาครัฐก็เป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหา แต่ในส่วนของลูกหนี้เองก็เป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้เกิดความสำเร็จ โดยที่ผ่านมาลูกหนี้มักมีความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง และทำให้การปรับโครงสร้างหนี้ไม่เกิดผล อาทิ คิดว่าเจ้าหนี้ไม่ อยากช่วย, หนีหนี้ เพื่อรอลดหนี้ที่ศาล ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้เพราะต้องคิดดอกเบี้ยต่อเนื่อง ,ให้ข้อมูลเท็จกับเจ้าหนี้ทำให้เรื่องจบยาก และสิ่งที่ไม่ควรทำคือการกู้ยืมนอกรแบบ หรือใช้สินเชื่อบุคคลมาโปะ ทางที่ถูกต้องคือการเข้ามาหารือและหาแนวทางแกเไขไปด้วยกัน"

สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์นั้น นางสาวธัญญลักษณ์กล่าวว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารรอบนี้ลดถึง 0.25%นับว่าเป็นประวัติการณ์ แต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนั้นเป็นการแบ่งเบาภาระเท่านั้น ต้องอาศัยการปรับตัวของผู้ประกอบการด้วย โดยเฉพาะการเพิ่มศักยภาพในด้านต่างๆเพื่อเพิ่มรายได้ ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน การลดดอกเบี้ยอย่างเดียวปัญหาไม่ได้จบ
กำลังโหลดความคิดเห็น