ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองแม้จะผ่านช่วงชะลอมาตรการภาษีนำเข้าฯสิ้นสุดแต่สถานการณ์ยังไม่แน่นอน ห่วงครึ่งปีหลังเสี่ยงเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิค แต่ยังคงเป้าจีดีพีโตที่ 1.4% ขณะที่สินเชื่อทั้งปีมองหดตัว 0.6%จากกลุ่มเอสเอ็มอี-รายย่อย แนวโน้มเอ็นพีแอลขยับขึ้น
นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า หลังจากการชะลอมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯสิ้นสุดลงในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 แล้ว สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงมองเศรษฐกิจไทยเติบโตที่ 1.4% และในช่วงครึ่งหลังปี 2568 ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิค แต่หากอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯในหลายประเทศยังคงไว้ที่ระดับ 10%ตลอดทั้งปี คาดว่าการส่งออกไทยจะขยายตัวได้ที่ 0.5% และเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มเติบโตได้ 1.8%
นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ภาษีสหรัฐฯที่ไม่ชัดเจนจะทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่องจากความเสี่ยงการส่งออกไปสหรัฐฯ และจีนในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องจักรกล เหล็ก ผลิตภัณฑ์พลาสติก เคมีภัณฑ์ เป็นต้น รวมถึงการแข่งขันในประเทศกับสินค้านำเข้า โดยคาดว่าสัดส่วนการนำเข้าสินค้าอุปโภคต่อยอดขายของธุรกิจค้าปลีกปี 2568 จะอยู่ที่กว่า 30% และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้จะหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี
นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า สินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ในปีนี้ คาดการณ์ว่าจะหดตัว 0.6% จากเดิมที่คาดการณ์เพิ่มขึ้น 0.6% จากสภาวะการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย หนี้ครัวเรือนที่สูง และแนวโน้มคุณภาพหนี้ที่แย่ลง ทำให้ธนาคารพาณิชย์ยังมีความระมัดระวังในการปล่อยกู้ ขณะเดียวกัน ความต้องการเงินทุนของธุรกิจที่ลดลงเนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
"ภาพรวมสินเชื่อของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในปีนี้ยังน่ากังวล ทางศูนย์วิจัยเองก็ได้มีการปรับลดประมาณการสินเชื่อ โดยคาดการณ์กลุ่มธุรกิจรายใหญ่ยังเป็นบวกได้บางๆ เพราะความต้องการลงทุนก็ไม่สูง ขณะที่สินเชื่อเอสเอ็มอี และรายย่อยยังหดตัว และแนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)ก็ขยับเพิ่มขึ้น เนื่องจากหนี้บางส่วนที่ปรับโครงสร้างหนี้แล้ว ย้อนกลับมาเป็นเอ็นพีแอลอีก และจากสถานการณ์ดังกล่าวทั้งสินเชื่อที่ลดลง หนี้เอ็นพีแอลที่ขยับเพิ่ม กดดันมาทีร่ผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ในที่สุด ซึ่งก็เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์ก็จะต้องเร่งบริหารจัดการด้านต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อรักษาผลกระทบดังกล่าว ขณะที่ช่องทางการหารายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นยังทำได้จำกัด เนื่องจากนรายได้บางส่วนยังผูกติดกับธุรกิจหลักคือสินเชื่อ"
นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า สภาวะการระดมทุนของภาคเอกชนว่ายังอ่อนแอต่อเนื่องจากความต้องการสินเชื่อที่ชะลอลง การชำระคืนหนี้ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงสถาบันการเงินยังคงกังวลเรื่องปัญหาหนี้เสีย ทำให้มีการปรับประมาณสินเชื่อของระบบลง ขณะที่เอ็นพีแอลมองว่ายังเป็นขาขึ้น แต่ตัวเลขอาจจะไม่เกิน 3%ต่อ สินเชื่อรวม เนื่องจากสถาบันการเงินจะยังคงพยายามเร่งจัดการหนี้เสีย และหนี้ที่เริ่มมีวันค้างชำระ ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้และการขายหนี้เสียออกไป เป็นต้น