xs
xsm
sm
md
lg

ทีทีบีแจ้งกำไรไตรมาสแรกที่ 5,096 ลดลง5.17%-เดินหน้าโครงการซื้อหุ้นคืนดันROEแตะ10%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) แจ้งผลการดำเนินงานรายการหลัก ๆ ในไตรมาส 1 ปี 2568 ธนาคารรายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ปี 2568 ที่ 5,096 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 5,374 ล้านบาท คิดเป็น 5.17% แต่ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับ 4,992 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2567 สะท้อนความสามารถในการรักษาแนวโน้มของผลประกอบการ รวมทั้งการดูแลคุณภาพพอร์ตสินทรัพย์


สินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ 1,211 พันล้านบาท ชะลอลง 2.4% จากสิ้นปี 2567 เป็นผลจากการเติบโตสินเชื่ออย่างรอบคอบ การชำระคืนหนี้ของลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ รวมทั้งการชะลอตัวของสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ยังคงซบเซา ขณะที่สินเชื่อบ้านแลกเงิน (+2% YTD) และสินเชื่อเล่มแลกเงิน (+11% YTD)

ด้านเงินฝากอยู่ที่ 1,298 พันล้านบาท ลดลง 2.3% จากสิ้นปี 2567 เป็นไปตามแผนบริหารสภาพคล่องและสอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตสินเชื่อใหม่ โดยอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (LDR) อยู่ที่ 93% ทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนสภาพคล่องที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งก็จะช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้กับธนาคารในการบริหารต้นทุนทางการเงินในระยะถัดไป

ในด้านรายได้ ธนาคารมีรายได้จากการดำเนินงานรวมอยู่ที่ 16,553 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2568 ชะลอลง 3.3% จากไตรมาส 4 ปี 2567 (QoQ) เป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลงตามการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายและสินเชื่อที่ชะลอตัว และรายได้ค่าธรรมเนียมที่ยังคงมีความท้าทาย สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 7,097 ล้านบาท ลดลง 7.0% QoQ สะท้อนผลจากการบริหารจัดการด้านต้นทุนรวมถึงการลดลงจาก high season ในไตรมาส 4 ส่งผลให้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ลดลงมาอยู่ที่ 43.1% จาก 44.3% ในไตรมาสที่แล้ว

สำหรับค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองฯ มีจำนวนทั้งสิ้น 4,580 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2568 ลดลง 2.4% QoQ เป็นผลจากภาพรวมด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่ยังคงบริหารจัดการได้ดีและอัตราการผิดนัดชำระหนี้ของลูกค้าที่ลดลง โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) อยู่ที่ 2.75% ยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 2.9% ขณะที่อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพทรงตัวในระดับสูงที่ 150%

ฐานะเงินกองทุน ยังคงอยู่ในระดับสูงและมีเสถียรภาพ โดย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 อัตราส่วนเงินกองทุนรวม (CAR) และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 20.5% และ 18.2% ตามลำดับ ยังคงสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ธปท.กำหนดไว้ที่ 12.0% สำหรับ CAR และ 9.5% สำหรับ Tier 1
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ภาพรวมการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2568 ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย โดยธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ และมุ่งดำเนินการใน 3 เรื่องหลัก ในประการแรก คือ การรักษาแนวโน้มผลประกอบการในปี 2568 ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ถัดมา คือ การดูแลลูกค้าและสนับสนุนการแก้หนี้อย่างยั่งยืน และท้ายสุด คือ การดำเนินการตามแผนบริหารจัดการส่วนทุนเพื่อสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น

ด้านการดูแลลูกค้า ธนาคารยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือลูกค้าและสนับสนุนการแก้หนี้อย่างยั่งยืนผ่านหลากหลายโครงการ เช่น โครงการรวบหนี้ ซึ่งเป็นโครงการที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นจาก 17,000 ราย ในปี 2566 มาสู่ 37,470 ราย ในปี 2567 และกว่า 47,000 ราย ในปัจจุบัน หรือเทียบเท่าว่าธนาคารสามารถช่วยลูกค้าลดภาระดอกเบี้ยไปได้มากกว่า 2,300 ล้านบาท และล่าสุดกับโครงการคุณสู้ เราช่วย ซึ่งมีลูกค้ารายย่อยและลูกค้า SME เข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 35,000 ราย

**เดินหน้าซื้อหุ้นคืนดันROEแตะ10%**
ส่วนการดำเนินการตามแผนการบริหารส่วนทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ทั้งนี้ ในเดือนมกราคม 2568 ธนาคารได้ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนระยะ 3 ปี ภายใต้วงเงิน 21,000 ล้านบาท ซึ่งนอกจากจะเป็นการใช้เงินทุนส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อผลักดันการบรรลุเป้าหมาย ROE ที่ 10% แล้ว ยังคาดว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนในตลาดทุนที่มีต่อมูลค่าของผู้ถือหุ้นได้เช่นกัน ในส่วนของการเข้าซื้อหุ้นในบริษัทหลักทรัพย์ธนชาตก็มีความคืบหน้าตามแผนที่ได้วางไว้

สำหรับช่วงที่เหลือของปี ธนาคารคาดว่าความขัดแย้งในเวทีการค้าโลกอาจส่งผลกระทบและสร้างความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นต่อภาคการส่งออกและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ดังนั้น จึงจะยังคงเน้นย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบต่อไป เพื่อให้มั่นใจว่าพอร์ตสินทรัพย์และสถานะทางการเงินยังคงมีความแข็งแกร่ง สามารถรักษาแนวโน้มของผลประกอบการและอัตราการจ่ายเงินปันผลให้อยู่ในระดับสูง

นอกจากนี้ จะยังคงดำเนินการตามแผนการเปลี่ยนแปลงองค์กร (Transformation) เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายระยะยาวในการเป็น Humanized Digital Banking หรือ ดิจิทัลแบงก์กิ้งที่ใช้งานง่าย ตอบโจทย์ เป็นประโยชน์กับลูกค้า ในประการสำคัญ ธนาคารยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) รวมทั้งการแก้หนี้อย่างยั่งยืน เพื่อให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น