นักวิเคราะห์และคอลัมนิสต์ชื่อดังแห่ง Bloomberg เผยมุมมองเผ็ดร้อนยุคที่สำนักงาน ก.ล.ต. สหรัฐฯ จะห้ามคริปโตแบบเบ็ดเสร็จนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว ชี้ชัดอิทธิพลระดับโลกของสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่อาจปฏิเสธได้ พร้อมโต้แนวคิดของแกรี่ เจนสเลอร์ อดีตประธาน SEC ที่เคยยืนกรานว่าโทเคนส่วนใหญ่ควรถือเป็นหลักทรัพย์ ระบุชัดว่าสหรัฐฯ ต้องมีกลไกกำกับดูแลที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสในโลกการเงินยุคใหม่
แม็ท เลวิน นักวิเคราะห์และคอลัมนิสต์สายการเงินชื่อดังของ Bloomberg ได้จุดประกายบทสนทนาในวงการคริปโตอีกครั้ง ผ่านบทบรรณาธิการล่าสุดที่วิพากษ์การดำเนินนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) ว่า “ไม่สามารถแบนคริปโตได้อีกต่อไป”
เลวิน ใช้ถ้อยคำเฉียบคมว่า “เรือลำนั้นได้แล่นออกไปแล้ว” เพื่อชี้ว่าแนวคิดการห้ามคริปโตโดยเด็ดขาดนั้นล้าสมัยเกินไป เพราะยุคที่สินทรัพย์ดิจิทัลได้แผ่ขยายอิทธิพลออกไปทั่วโลก ทั้งในเชิงเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน แม้จะมี “เรื่องโง่ๆ” หรือความวุ่นวายในแวดวงคริปโตเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง แต่การทำเป็นเพิกเฉยต่ออุตสาหกรรมนี้ก็ยิ่งไม่ใช่ทางเลือก
หนึ่งในเป้าโจมตีหลักของเลวิน คือแกรี่ เจนสเลอร์ อดีตประธาน SEC ผู้ที่มักถูกวิจารณ์ว่ามีท่าทีแข็งกร้าวต่อสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมองว่าโทเคนส่วนใหญ่ควรถูกตีความเป็นหลักทรัพย์ที่ต้องจดทะเบียน ซึ่งแนวทางนี้กลับเป็นทางตัน เพราะการจดทะเบียนเช่นนั้นแทบเป็นไปไม่ได้จริงในเชิงปฏิบัติ
เลวิน ชี้ว่ามุมมองดังกล่าวละเลยข้อเท็จจริงที่ว่า โลกคริปโตไม่ได้มีเพียงองค์กรที่มุ่งเก็งกำไร หากแต่ยังมีโครงการแบบทดลอง (experimental) และแบบกระจายศูนย์ (non-organizational) อีกจำนวนมาก การพยายามใช้กฎเกณฑ์ดั้งเดิมกับนวัตกรรมใหม่นั้น จึงกลายเป็น “กรอบที่คับเกินไป” สำหรับสิ่งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
พร้อมกันนี้ เลวินเสนอแนวทางที่สมดุลมากขึ้น โดยระบุว่า SEC ยังคงเป็นหน่วยงานที่เหมาะสมที่สุดในการกำกับดูแลคริปโต เนื่องจากโทเคนจำนวนมากมีลักษณะคล้ายหลักทรัพย์ แต่สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งคือการ “ปรับแต่ง” กฎหมายคุ้มครองผู้ลงทุนให้เหมาะสมกับสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีพลวัตสูงและไม่เหมือนหุ้นตามแบบแผนเดิม
ขณะเดียวกัน ความหวังใหม่เริ่มปรากฏขึ้น เมื่อพอล แอตกินส์ ประธาน SEC คนปัจจุบันได้บอกใบ้ว่าหน่วยงานกำลังเปิดทางให้คริปโตสามารถเข้าสู่กระบวนการจดทะเบียนได้จริง โดยล่าสุดยังเปิดตัวโครงการ “Project Crypto” ซึ่งมุ่งเป้าปรับปรุงกลไกกำกับดูแลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และที่สำคัญคือ การยอมรับว่า “โทเคนส่วนใหญ่ไม่ใช่หลักทรัพย์” อย่างที่เจนสเลอร์ เคยยืนกราน
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนท่าทีของ SEC อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการสร้างสมดุลระหว่างการคุ้มครองนักลงทุน กับการไม่ปิดกั้นนวัตกรรมที่โลกกำลังวิ่งเข้าใส่ ด้วยมูลค่าตลาดที่แตะหลายล้านล้านดอลลาร์ คริปโตเคอร์เรนซีได้กลายเป็นพลังใหม่ในระบบเศรษฐกิจโลกอย่างไม่อาจปฏิเสธ
ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่น สหภาพยุโรป ฮ่องกง หรือสิงคโปร์ ต่างกำลังเร่งออกกฎหมายที่เอื้อต่อการเติบโตของคริปโต สหรัฐฯ เองก็ต้องเร่งเครื่อง หากไม่ต้องการตกขบวนเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเดินหน้าไปอย่างก้าวกระโดด
ทั้งนี้ เลวิน ทิ้งท้ายอย่างเฉียบคมว่า “การควบคุมย่อมดีกว่าการปฏิเสธ เพราะในโลกที่ขอบเขตของเทคโนโลยีไร้พรมแดน สิ่งที่ SEC ควรทำ คือปรับตัว ไม่ใช่ปิดประตู"