xs
xsm
sm
md
lg

วิจารณ์เดือด! SEC หนุน 'สเตคกิ้งแบบมีสภาพคล่อง' เปรียบเทียบเท่ากับ Lehman Brothers ล่มสลายปี 2008

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ SEC โหมกระแสวิพากษ์ หลังวิพากษ์แนวทางใหม่ของ ก.ล.ต. สหรัฐฯ ที่ยกเว้นกิจกรรมสเตคกิ้งคริปโตจากการกำกับดูแล เปรียบเทียบรุนแรงเทียบเท่าวิกฤตการเงินปี 2008 จุดไฟถกเถียงวงกว้างทั้งฝั่งผู้เชี่ยวชาญ ภาคอุตสาหกรรม และนักพัฒนาบล็อกเชน

อแมนดา ฟิชเชอร์ อดีตหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในแวดวงสินทรัพย์ดิจิทัล หลังออกโรงแสดงความไม่เห็นด้วยกับแถลงการณ์ล่าสุดของ SEC ที่ระบุว่า “กิจกรรมการถือครองสภาพคล่องบางประเภท ไม่ถือเป็นการเสนอขายหลักทรัพย์ และจึงไม่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ SEC”

การออกแถลงการณ์ดังกล่าว นับเป็นการขยับเชิงนโยบายที่สำคัญของ SEC ซึ่งมีผลโดยตรงต่อโปรโตคอล ‘Liquid Staking’ และแพลตฟอร์ม DeFi ที่ให้บริการในลักษณะเปิดให้ผู้ใช้ฝากเหรียญในรูปแบบที่ยังคงสามารถใช้งานได้ในระบบอื่นต่อ

ทว่า ฟิชเชอร์กลับมองว่า แนวทางนี้อาจย้อนรอยความผิดพลาดในอดีต เธอแสดงความเห็นผ่านโพสต์บน X (Twitter เดิม) เปรียบเทียบการปักหลักแบบมีสภาพคล่องกับพฤติกรรมของธนาคารเพื่อการลงทุน “เลห์แมน บราเธอร์ส” ที่ใช้สินทรัพย์ของลูกค้าเป็นหลักประกันในการทำธุรกรรมก่อนล่มสลายในปี 2008

“การแจกจ่ายสิทธิให้สเตคคริปโต โดยไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของ SEC หรือธนาคารกลาง เป็นเหมือนการอนุมัติให้มีการจำนองซ้ำโดยไร้กำกับ เหมือนที่ทำให้เลห์แมนล้ม แต่นี่ร้ายแรงกว่า เพราะมันเกิดขึ้นในระบบที่ไม่มีหน่วยงานไหนคุมอยู่เลย” ฟิชเชอร์ระบุ 

ที่มา: อแมนดา ฟิชเชอร์ อดีตหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC)
เสียงสะท้อนจากฝั่งกรรมการ SEC เองก็แบ่งออกเป็นสองฝั่ง

ขณะที่แคโรไลน์ เครนชอว์ กรรมการ SEC วิจารณ์ว่าแถลงการณ์ดังกล่าวให้ “ความชัดเจนเชิงกฎหมายน้อยมาก และอิงอยู่บนสมมติฐานที่ยังไม่ถูกพิสูจน์”

ขณะที่ เฮสเตอร์ เพียร์ซ กรรมการอีกคน กลับสนับสนุนการตัดสินใจของสำนักงาน โดยระบุว่า “การปักหลักด้วยสภาพคล่อง เป็นวิธีใหม่ในการแก้ปัญหาเก่า” พร้อมอธิบายว่าโปรโตคอลลักษณะนี้ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับสินทรัพย์ที่เคยถูกล็อกไว้ และควรได้รับการสนับสนุน

อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นของฟิชเชอร์ ได้กลายเป็นชนวนจุดไฟให้กับชุมชนคริปโต ซึ่งบางส่วนมองว่าแถลงการณ์ของ SEC ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การยอมรับ DeFi ในระดับสถาบัน

ด้านแมทธิว ซิเกล หัวหน้าฝ่ายวิจัยสินทรัพย์ดิจิทัลของ VanEck กล่าวตอบโต้ว่า “ตอนแรกบอกว่า SEC อนุมัติให้ทำได้ ต่อมากลับบอกว่าไม่อยู่ในขอบเขตการกำกับ แบบนี้แปลว่าอะไรกันแน่? คุณกำลังขัดแย้งกับตัวเองกลางอากาศ”

อย่างไรก็ตามฟิชเชอร์ได้ตอบกลับโดยชี้แจงว่า การ ‘อนุมัติ’ ของ SEC ในครั้งนี้ หมายถึงการปล่อยให้กิจกรรมเหล่านี้อยู่นอกขอบเขตของหลักทรัพย์ ไม่ได้แปลว่า SEC รับรองความปลอดภัยของระบบแต่อย่างใด

นอกจากนี้เสียงจากผู้พัฒนาและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีก็ออกมาเสริมว่า โลกของ DeFi มีโครงสร้างที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากระบบการเงินดั้งเดิม

ขณะที่ เมร์ซ มุมทาซ ซีอีโอของ Helius Labs ชี้ว่า “ระบบธนาคารไม่โปร่งใส ต่างจากบล็อกเชนที่ตรวจสอบได้” แต่ก็เตือนว่าหลายระบบ Liquid Staking ยังไม่มีการอธิบายโครงสร้างการทำงานที่ชัดเจน “คุณไม่มีทางรู้ว่า LST เหล่านี้ทำงานอย่างไรจริง ๆ หรือไม่ก็จงใจทำให้เข้าใจยาก”

นอกจากนี้ เจสัน ก็อตต์ลิบ ทนายความด้านคริปโตชื่อดังจากนิวยอร์ก แสดงความคิดเห็นว่าคำเปรียบเทียบของฟิชเชอร์ “ไม่ถูกต้องทั้งในเชิงเทคนิคและกฎหมาย” พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า “หากมีเทคโนโลยีบล็อกเชนในปี 2008 เราอาจไม่ต้องเจอกับวิกฤตแบบนั้นเลยก็เป็นได้”

TVL ของ Liquid Staking กลับมาอีกครั้ง

แม้การถกเถียงทางกฎหมายจะยังดำเนินต่อ แต่ตัวเลขในอุตสาหกรรมกลับสะท้อนความร้อนแรงของ Liquid Staking ได้อย่างชัดเจน

ข้อมูลจาก DefiLlama ระบุว่า มูลค่ารวมที่ถูกล็อก (Total Value Locked – TVL) ในโปรโตคอล Liquid Staking ทุกระบบอยู่ที่ 66.94 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 14.5% ตั้งแต่ต้นปี แม้จะเคยร่วงลงมาแตะระดับ 30 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเดือนเมษายน

ในจำนวนนี้ Lido Finance ครองส่วนแบ่งตลาดเกือบ 48% โดยมี TVL อยู่ที่ 31.88 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 1.5% จากต้นปี ขณะที่ Binance Staked ETH ซึ่งเป็นบริการ Liquid Staking อันดับสอง มี TVL พุ่งขึ้นเกือบ 90% จาก 6.05 พันล้านดอลลาร์ เป็น 11.4 พันล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตามความเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ตอกย้ำว่า การปักหลักด้วยสภาพคล่อง ไม่ได้เป็นเพียงกลไกในโลก DeFi เท่านั้น แต่กำลังกลายเป็นจุดตัดใหม่ระหว่างเสรีภาพของเทคโนโลยีกับกฎระเบียบของรัฐในยุคหลังวิกฤตการเงิน