หน่วยข่าวกรองจีนเผยข้อมูลชวนผวา ชี้การเก็บข้อมูลชีวมาตรโดยบริษัทคริปโตอาจไม่ใช่แค่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล แต่โยงถึง “ความมั่นคงของชาติ” ได้ในอนาคต วางเป้าการเตือนต่อเทคโนโลยีสแกนม่านตา–ระบบระบุตัวตนดิจิทัล พร้อมอ้างกรณีบริษัทต่างชาติลักลอบรวบรวมข้อมูลไอริสจากทั่วโลก ด้านไวตาลิก บูเตอริน เสนอกลไกไอดีพหุนิยม สู้กระแส Surveillance Capitalism
ความกังวลของรัฐบาลจีนต่อการใช้งานเทคโนโลยีระบุตัวตนชีวมาตร (biometric identification) กำลังทวีความเข้มข้นขึ้น หลังจากกระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐของจีน (MSS) เผยแพร่รายงานในวารสารความมั่นคงสาธารณะเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยระบุว่า การรวบรวมข้อมูลชีวมาตร ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ลายนิ้วมือ หรือม่านตา โดยบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีคริปโต อาจนำไปสู่ความเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัวของพลเมือง และอาจถูกนำไปใช้ในกิจกรรมจารกรรมที่ส่งผลต่อเสถียรภาพแห่งชาติ
รายงานดังกล่าวเน้นย้ำว่า มีบริษัทต่างชาติแห่งหนึ่ง (ไม่เปิดเผยชื่อ) แอบอ้างว่าให้บริการโทเค็นคริปโต แลกกับการสแกนม่านตาจากผู้ใช้งานทั่วโลก ก่อนจะลักลอบส่งต่อข้อมูลต้นทางไปยังบุคคลที่สาม พฤติกรรมเช่นนี้ถูกมองว่าเป็น “ภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ” ในระดับที่ไม่สามารถมองข้ามได้
แม้รายงานจะไม่ระบุชื่อบริษัทโดยตรง แต่หลายฝ่ายเชื่อว่าการอ้างอิงนี้มุ่งเป้าไปที่โครงการ Worldcoin ของแวม ออลแมน ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ซึ่งเคยตกเป็นเป้าการวิพากษ์จากหลายประเทศ เนื่องจากมีการแลกเปลี่ยนโทเค็น World (WLD) กับการสแกนม่านตา โดยอ้างว่าจะใช้เป็นการยืนยันตัวตนที่ไม่ซ้ำกันของมนุษย์ (proof of personhood) อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน Worldcoin ยังไม่มีการดำเนินงานในจีนโดยตรง
MSS เตือนว่า “เมื่อข้อมูลม่านตาหลุดรั่วหรือถูกละเมิดแล้ว การย้อนกลับหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลนั้นแทบเป็นไปไม่ได้” เนื่องจากข้อมูลไบโอเมตริกซ์เหล่านี้เปรียบเสมือนกุญแจส่วนตัวของบุคคลที่ใช้ในการเข้าถึงบริการต่าง ๆ ทั้งทางการเงินและการยืนยันตัวตนในระดับลึก
รายงานยังขยายความว่า การจดจำใบหน้าก็ถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มีความเสี่ยงสูง หากมีการจัดเก็บอย่างไม่เหมาะสม อาจนำไปสู่การรั่วไหลที่กระทบทั้งข้อมูลส่วนตัว ความปลอดภัยของทรัพย์สิน และแม้กระทั่งการถูกแทรกแซงโดยหน่วยข่าวกรองต่างประเทศ ซึ่งอาจปลอมแปลงใบหน้าเพื่อแทรกซึมเข้าสู่พื้นที่เป้าหมายได้อย่างแนบเนียน
“แม้การระบุตัวตนผ่านไบโอเมตริกซ์จะช่วยอำนวยความสะดวกอย่างมาก แต่ภาครัฐและประชาชนต้องตระหนักว่า ความสะดวกนั้นมาพร้อมกับต้นทุนด้านความปลอดภัย ซึ่งอาจย้อนกลับมาเป็นภัยคุกคามระดับชาติโดยไม่รู้ตัว” แถลงการณ์ของ MSS ระบุอย่างชัดเจน
ไวตาลิก บูเตอริน แนะใช้อัตลักษณ์แบบพหุนิยม ไม่ใช่ไอดีเดียวผูกขาด
ในอีกฟากของโลกคริปโต ไวตาลิก บูเตอรินผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ได้ออกมานำเสนอมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับแนวทางระบุตัวตนดิจิทัล โดยเสนอกรอบแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า “อัตลักษณ์พหุนิยม (pluralistic identity)” เพื่อรักษาสมดุลระหว่างความเป็นส่วนตัวและความถูกต้องในการยืนยันตัวตน
บูเตอริน ให้ความเห็นว่าระบบที่บังคับให้ประชาชนต้องใช้อัตลักษณ์เพียงแบบเดียว (one-ID-fits-all) แม้จะใช้เทคนิค Zero-Knowledge Proof ที่มีความปลอดภัยสูง ก็ยังสุ่มเสี่ยงต่อการถูกติดตามโดยหน่วยงานรัฐหรือนายจ้าง พร้อมวิจารณ์แนวคิด “proof of wealth” หรือการยืนยันด้วยทรัพย์สินว่าเอื้อประโยชน์เฉพาะกลุ่มผู้มีอำนาจทางการเงิน และอาจกลายเป็นกลไกกีดกันมากกว่าสร้างโอกาส
อย่างไรก็ตามแนวทาง “อัตลักษณ์พหุนิยม” ที่เขาเสนอ จึงเน้นการตรวจสอบตัวตนผ่านแหล่งข้อมูลหลากหลาย ทั้งจากภาครัฐ สื่อสังคม และเครือข่ายชุมชน โดยไม่มีแหล่งใดสามารถครอบงำระบบทั้งหมดได้ ซึ่งเป็นการกระจายศูนย์และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับประชาชนในการเลือกแสดงตัวตนในแต่ละบริบท
เมื่อมองในมุมของรัฐบาลจีน ความเคลื่อนไหวเช่นนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านของภูมิทัศน์ด้านอัตลักษณ์ในโลกดิจิทัล ซึ่งกำลังกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของการช่วงชิงอำนาจข้อมูลส่วนบุคคล และการออกแบบกติกาใหม่สำหรับยุค “AI-Blockchain-Surveillance” ที่ความไว้วางใจจะไม่ได้ขึ้นกับเพียงรัฐหรือบรรษัท แต่ขึ้นกับโครงสร้างระบบทั้งหมดร่วมกัน