สมาคมการเงินของจีนประกาศกร้าว เตือนภัยประชาชนให้ระวัง "กับดักแห่งผลตอบแทนสูง" ในโลก Web3 และ DeFi ที่แท้จริงแล้วคือ "แชร์ลูกโซ่" ในรูปแบบดิจิทัล แนะอย่าหลงเชื่อ "คำโฆษณาหรูหรา" อย่าง "แผนความมั่งคั่ง Stablecoin" หรือ "ปันผล Web 3.0" ที่พร้อมดูดเงินผู้หลงเชื่อจนหมดตัว
สมาคมอุตสาหกรรมการเงินทางอินเทอร์เน็ตแห่งชาติของจีน (BIFA) ได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) กระตุ้นให้นักลงทุนรายย่อยปฏิเสธข้อเสนอที่นำเสนอรูปแบบการขายแบบปิรามิด (Pyramid Sales) หรือแชร์ลูกโซ่แบบเก่า โดยสร้างรูปแบบความน่าเชื่อ โดยผู้โปรโมทได้เริ่มโฆษณา "แผนความมั่งคั่ง Stablecoin" "ปันผล Web 3.0" และข้อเสนอที่คล้ายคลึงกันที่สัญญาผลตอบแทนคงที่
ขณะที่ในหนังสือเวียนดังกล่าวได้ระบุถึง 5 จุดสังเกตสำคัญของการระดมทุนที่ผิดกฎหมาย ได้แก่
1.การดำเนินการโดยไม่มีใบอนุญาต : ไม่มีใบอนุญาตที่ถูกต้องจากหน่วยงานกำกับดูแลของประเทศ
2.การใช้ศัพท์เทคนิคเพื่อขยายช่องว่างข้อมูล : ใช้ภาษาเทคนิคที่ซับซ้อนเพื่อทำให้นักลงทุนสับสนและเข้าใจผิด
3.การออกหลักประกันปลอม : ให้คำรับรองที่ไม่เป็นจริงหรือเกินจริง
4.การนำเงินฝากใหม่ไปจ่ายให้ผู้เข้าร่วมก่อนหน้า : เป็นลักษณะคลาสสิกของแชร์ลูกโซ่ที่นำเงินจากเหยื่อรายใหม่ไปจ่ายให้เหยื่อรายเก่า
5.การเชื่อมโยงกับการฉ้อโกงหรือการฟอกเงิน : โดยกิจกรรมมักจะขยายไปสู่การหลอกลวงหรือการฟอกเงินที่ผิดกฎหมาย
ขณะที่ทาง BIFA แนะนำให้ประชาชนตรวจสอบใบอนุญาตของบริษัทผ่านหน่วยงานกำกับดูแลของประเทศ และตระหนักว่าผลตอบแทนที่สูงมักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน นอกจากนี้ยังเตือนเหยื่อว่า ตามระเบียบการป้องกันและจัดการการระดมทุนที่ผิดกฎหมายของจีน นักลงทุนจะต้องรับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆ ที่เกิดขึ้นเอง
ขณะที่คำเตือนดังกล่าว ซึ่งมีความยาวเกือบ 1,500 ตัวอักษรภาษาจีน ปรากฏครั้งแรกในช่อง WeChat ที่ได้รับการยืนยันของ BIFA การฉ้อโกงในอดีต เช่น บริการกระเป๋าเงิน PlusToken ที่ล่มสลายในปี พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) ซึ่งรวบรวม Bitcoin และ Ethereum ไปได้กว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นข้อมูลสำคัญที่ทำให้เกิดคำเตือนในปัจจุบัน เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าผู้โปรโมทสามารถโยกย้ายเหรียญไปมาระหว่างกระดานเทรดและมิกเซอร์ก่อนการชำระบัญชี ทำให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปได้ยาก
แม้ว่าจีนจะสั่งห้ามบริการแลกเปลี่ยนคริปโตเป็นเงินกระดาษโดยตรงในปี พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) แต่ความสนใจภายในประเทศยังคงมีอยู่ผ่านแพลตฟอร์มต่างประเทศและช่องทางตลาดเทาที่ผิดกฎหมาย หน่วยงานกำกับดูแลในปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น ต่างก็ออกประกาศเตือนผู้บริโภคเกี่ยวกับกลโกงโทเคนอย่างน้อยหนึ่งครั้งในปีนี้
สาเหตุที่เป็นไปได้สำหรับคำเตือนนี้รวมถึงการเก็งกำไรในหมู่นักลงทุนรายย่อยที่เพิ่มขึ้นบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในแผ่นดินใหญ่ ซึ่งดัชนีหุ้น "แนวคิด Stablecoin" ที่ไม่เป็นทางการได้เพิ่มขึ้น 88% ตั้งแต่เดือนเมษายน นอกจากนี้ ความสนใจในตลาดยังติดตามกฎระเบียบ Stablecoin ที่กำลังจะมาจากฮ่องกง ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) เนื่องจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่กำลังสำรวจโทเคนที่ตรึงกับสกุลเงินหยวน รายงานยังระบุว่าบล็อกภายในประเทศได้เริ่มส่งเสริม "กลุ่มขุด USDT" และ "Stablecoin CNH ที่มีประกัน" ซึ่งกระตุ้นให้หน่วยงานกำกับดูแลท้องถิ่นเตรียมการดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย
คำแถลงของ BIFA สรุปด้วยการเผยแพร่สายด่วนและแนะนำให้นักลงทุนที่พบกิจกรรมที่ไม่มีใบอนุญาตให้รายงานต่อตำรวจหรือหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงิน สมาคมยังเสริมว่าจะส่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อไปยังคณะทำงานระดับจังหวัดที่ติดตามการระดมทุนสาธารณะที่ผิดกฎหมาย
คำเตือนจากสมาคมการเงินของจีนครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ "กระแสข่าว" ธรรมดา แต่มันคือ "เสียงร้องเตือน" จากรัฐบาลที่กำลัง "กวาดล้าง" ทุกกิจกรรมที่พวกเขาถือว่า "อยู่นอกเหนือการควบคุม" ในโลกคริปโต การที่รัฐบาลใช้คำว่า "แชร์ลูกโซ่ดั้งเดิมที่เปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัล" มาอธิบายถึงโปรเจกต์ Web3 และ DeFi ที่อ้างผลตอบแทนสูง ถือเป็นการ "ตีแสกหน้า" บรรดาผู้ที่หลงเชื่อและผู้ที่พยายามหลอกลวง
นอกจากนี้การที่จีนยกตัวอย่างเคสเก่า ๆ อย่าง PlusToken ที่ทำเงินหายไปหลายพันล้านดอลลาร์ แสดงให้เห็นว่าพวกเขา "เรียนรู้บทเรียน" และพร้อมที่จะ "ป้องกัน" ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีกครั้ง แม้ว่าคริปโตจะถูกแบนโดยตรงในจีน แต่ความสนใจผ่านแพลตฟอร์มต่างประเทศและตลาดเทาก็ยังคงมีอยู่ ซึ่งนั่นคือ "จุดที่รัฐบาลกำลังเล็งเป้า" และพร้อมจะเข้าโจมตี
การที่หน่วยงานกำกับดูแลในเมืองใหญ่อย่างปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น ต่างก็ออกมาเตือนภัย แสดงให้เห็นถึง "ความร่วมมือ" ในการปราบปรามทั่วประเทศ การที่ "ดัชนีหุ้นแนวคิด Stablecoin" พุ่งขึ้น 88% และมีข่าวการโปรโมท "กลุ่มขุด USDT" สะท้อนให้เห็นว่า "ความโลภ" ยังคงเป็นจุดอ่อนที่กลุ่มมิจฉาชีพใช้เป็นช่องทางในการหลอกลวงประชาชน และรัฐบาลจีนก็ไม่รอช้าที่จะ "ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม"
นี่คือ "สงคราม" ระหว่าง "ความมั่งคั่งที่คาดไม่ถึง" กับ "ความมั่นคงของระบบการเงิน" ที่รัฐบาลจีนพยายามจะรักษาไว้ให้ได้ การที่รัฐบาลกลางให้ประชาชนแจ้งเบาะแสและรับผิดชอบความเสียหายเอง ก็เป็นการโยนภาระและเตือนให้ทุกคน "ตาสว่าง" ว่าในโลกคริปโตที่ไร้การกำกับดูแล ผู้ที่เกี่ยวข้องคือ "ผู้รับผิดชอบสูงสุด" ต่อเงินในกระเป๋าของตัวเอง ซึ่งนักลงทุนควรระวังเสมอเพราะ "ความเสี่ยง" ซ่อนอยู่ใน "ผลตอบแทนสูง" เสมอ