ทางการเยอรมนีได้ออกมาเตือนถึงระบบจัดเก็บข้อมูลแบบศูนย์การซื้อขายแลกเปลี่ยน โดยระบุว่าระบบเหล่านี้มีความเสี่ยงจากการถูกแฮ็กเกอร์ ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายจำนวนมากต่อเศรษฐกิจ และนักลงทุน โดยมีมูลค่าความเสียหายมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
สำนักงานความปลอดภัยข้อมูลกลางของเยอรมนี (BSI) แนะนำให้ผู้ใช้สกุลเงินดิจิทัลรักษาความปลอดภัยสินทรัพย์ดิจิทัลของตนด้วยการจัดเก็บแบบ Hardware Wallet มากกว่าฝากอยู่ในศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ หรือระบบออนไลน์
โดยในโพสต์ LinkedIn ของ BSI เจ้าหน้าที่ได้ประกาศว่ากระเป๋าเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลควรเป็นการจัดเก็บแบบฮาร์ดแวร์ จะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดในการจัดเก็บสินทรัพย์ดิจิทัล โดยอธิบายว่าอุปกรณ์เหล่านี้สามารถช่วยเก็บคีย์การเข้ารหัสส่วนตัวของผู้ใช้ในที่จัดเก็บแบบออฟไลน์หรือแบบ “เย็น” ได้ ซึ่งการจัดเก็บแบบออฟไลน์นี้ ช่วยให้มั่นใจได้ว่าคีย์จะปลอดภัยจนกว่าจะต้องใช้ในการทำธุรกรรม
นอกจากนี้ สำนักงานความปลอดภัยข้อมูล เน้นย้ำถึงความเสี่ยงหลายประการที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บสินทรัพย์บนแพลตฟอร์มของบุคคลที่สาม เช่น การแลกเปลี่ยน แม้ว่าการเก็บรักษาสินทรัพย์ผ่านการแลกเปลี่ยนจะสะดวกกว่า แต่ก็มีความเสี่ยงต่อแฮกเกอร์
ในทางกลับกัน หน่วยงานได้ชี้ให้เห็นว่ากระเป๋าเงินในระบบซอร์ฟแวร์ในโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ยังมีข้อบกพร่องด้านความปลอดภัยที่สำคัญอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงเหล่านี้ BSI จึงแนะนำให้ใช้กระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการรักษาความปลอดภัยของสกุลเงินดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น Pin จะปกป้องกระเป๋าเงินเหล่านี้และอนุญาตให้ผู้ใช้สร้างการสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย
การแฮ็คคริปโต : ความเสียหายที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
คำแนะนำนี้ออกมาท่ามกลางการโจรกรรมสกุลเงินดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้น โดยจากข้อมูลของ Chainalysis รายงานว่าอุตสาหกรรมสกุลเงินดิจิทัลสูญเสียเงินไปเกือบ 1.6 พันล้านดอลลาร์ จากการโจมตีและช่องโหว่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567
โดยในรายงานระบุว่าเงินที่ถูกขโมยเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจาก 857 ล้านเหรียญสหรัฐเป็น 1.58 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่เงินเรียกค่าไถ่ก็เพิ่มขึ้นประมาณ 2% จาก 449.1 ล้านเหรียญสหรัฐเป็น 459.8 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยรายงานระบุว่ามูลค่าเฉลี่ยของคริปโตที่ถูกขโมยต่อการโจรกรรมแต่ละครั้ง เพิ่มขึ้นเกือบ 80% ในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องมาจากมูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ในรายงานยังระบุเพิ่มเติมอีกว่า “จำนวนเหตุการณ์โจมตีของแฮ็กเกอร์ในปี 2567 เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากปี 2566 โดยเพิ่มขึ้นเพียง 2.76% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว มูลค่าเฉลี่ยที่ถูกโจมตีต่อเหตุการณ์เพิ่มขึ้น 79.46% จาก 5.9 ล้านดอลลาร์ต่อเหตุการณ์ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกรกฎาคม 2566 เป็น 10.6 ล้านดอลลาร์ต่อเหตุการณ์ จนถึงตอนนี้ในปี 2567 โดยอิงจากมูลค่าของทรัพย์สินในขณะที่ถูกโจรกรรม”
ทั้งนี้ในทำนองเดียวกัน Scam Sniffer รายงานว่าการโจมตีฟิชชิ่งด้วยคริปโต ที่กำหนดเป้าหมายบุคคลทั่วไปมีมูลค่าถึง 341 ล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 295 ล้านดอลลาร์ที่ถูกขโมยไปในปี 2566 ทั้งปี โดยเหยื่อ 20 อันดับแรก สูญเสียเงินไปกว่า 1 ล้านดอลลาร์ต่อราย รวมเป็นมูลค่ารวม 58 ล้านดอลลาร์