xs
xsm
sm
md
lg

SCB WEALTH แนะจัดพอร์ตรองรับผลเลือกตั้งสหรัฐฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



SCB WEALTH ประเมินเลือกตั้งสหรัฐฯ หากทรัมป์ชนะเลือกตั้งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ มากกว่าตัวแทนจากพรรคเดโมแครต จากนโยบายปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและคงภาษีเงินได้นิติบุคคล หนุนบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มกำไรเพิ่มขึ้น ด้านกลุ่มเทคโนโลยียังได้รับแรงสนับสนุนเพื่อแข่งกับจีน แนะนักลงทุนกระจายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ในต่างประเทศทั้งตราสารหนี้ และหุ้น เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในประเทศ พร้อมแบ่งพอร์ตออกเป็น 2 ส่วน คือ Core port ที่เน้นลงทุนมากกว่า 1 ปีขึ้นไป แนะลงทุนในหุ้นกู้ Investment Grade หุ้นสหรัฐฯ ในกลุ่ม new economy หุ้นในห่วงโซ่อุปทาน AI และหุ้นคุณภาพสูง (Quality) ที่มูลค่าหุ้นเติบโตได้ในระยะยาว และทองคำ เพื่อช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ส่วน Opportunistic Port ลงทุนระยะสั้นน้อยกว่า 1 ปี เน้นหุ้นที่ยังมี Valuation ไม่แพง ได้แก่ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เวียดนาม ยุโรป และจีน H-Share ด้าน EIC มองเศรษฐกิจไทยเติบโตช้า-เปราะบาง มองหาก กนง.ให้น้ำหนักความเปราะบางของเศรษฐกิจมากขึ้น การลดดอกเบี้ยจะช่วยแก้ปัญหาหนี้และเศรษฐกิจได้ คาดปลายปีนี้ลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง

นายยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวในงานสัมมนา SCB FIRST INVESTMENT OUTLOOK 2024 ภายใต้ธีม NAVIGATING THE INVESTMENT WORLD WITH DIGITAL AI ว่า ตลาดการลงทุนในไทยมีความผันผวนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่ตลาดลงทุนทั่วโลกมีการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องและยังมีโอกาสที่น่าสนใจอยู่ โดยเฉพาะเงินเฟ้อหลายประเทศในโลกเริ่มชะลอตัวลง ทำให้ธนาคารกลางต่างๆ มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญช่วยเพิ่มสภาพคล่อง และเป็นผลดีต่อภาวะการลงทุน โดย SCB WEALTH มีภารกิจในการจะเฟ้นหาสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้แม้ในภาวะที่ตลาดมีความผันผวน เพื่อเป็นทางเลือกการลงทุนให้ลูกค้าผ่านการให้คำแนะนำการจัดพอร์ตลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ อย่างเหมาะสม ทั้งสินทรัพย์เสี่ยง และสินทรัพย์ปลอดภัย รวมถึงกระจายการลงทุนทั่วโลก การสร้างพอร์ตลงทุนหลักให้เปรียบเหมือนสมอเรือใหญ่ และพอร์ตเสริมสำหรับการลงทุนสอดคล้องกับภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา โดยเราพร้อมเคียงข้างเป็นเสมือน Thought partner เพื่อสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้ลูกค้า

น.ส.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกโดยรวมในปีนี้แนวโน้มสดใสกว่าที่เคยมองต้นปี แต่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกระยะถัดไปอาจไม่เติบโตแบบในอดีตที่เคยโต 3-4% โดยอีก 5 ปีข้างหน้าอาจเติบโตเฉลี่ย 2.6% เท่านั้น จากปัจจัยกดดัน โดยเศรษฐกิจจีนจะไม่เติบโต 6-7% เหมือนในอดีต เพราะจีนเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพมากขึ้น ประเทศต่างๆ จะแบ่งขั้วกันมากขึ้น (decoupling) ไม่เพียงแต่สหรัฐฯ และจีน ซึ่งทำให้แนวโน้มโลกาภิวัตน์เปลี่ยนไปสู่การกีดกันการค้าต่างขั้วและหันมาเน้นผลิตเอง ขณะที่สังคมผู้สูงอายุในโลกจะทำให้มีจำนวนแรงงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจน้อยลง รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่จะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก

ส่วนเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวช้า เปราะบาง และไม่แน่นอน ในปีนี้คาดว่าจะเติบโต 2.5% โดยพบว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหลังโควิด แยกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มบนฟื้นตัว แต่กลุ่มล่างมีปัญหา เช่น ครัวเรือนที่มีรายได้น้อย รายได้ลดลง หรือมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับรายได้ ทำให้เกิดปัญหาไม่มีเงินสำรองยามฉุกเฉิน ซึ่ง SCB EIC มองว่า หากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ให้น้ำหนักประเด็นเศรษฐกิจไทยที่เปราะบางมากขึ้น ท่ามกลางสถาบันการเงินที่เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อกว่าในอดีต การลดดอกเบี้ยจะช่วยแก้ปัญหาหนี้ ช่วยเศรษฐกิจได้ โดยเราคาดว่า กนง. จะลดดอกเบี้ย 1 ครั้งปลายปี 2567 และลดอีก 1 ครั้งช่วงต้นปี 2568 ส่วนค่าเงินบาทอ่อนค่าตั้งแต่ต้นปี 2567 จากเงินทุนที่ไหลออกค่อนข้างมาก หากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ คาดว่าเงินบาทจะกลับมาแข็งค่าขึ้นได้เล็กน้อยอยู่ที่ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

นายศรชัย สุเนต์ตา CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า นักวิเคราะห์ต่างมีมุมมองต่อทิศทางของเศรษฐกิจโลกดีขึ้น ประเด็นนี้ถือเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยในส่วนของสหรัฐฯ เรามองว่า ทิศทางดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นขาลง ตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ และส่งสัญญาณว่า การรักษาอัตราดอกเบี้ยระดับสูงนานเกินไปอาจกระทบต่อเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ยังมีความเป็นไปได้ที่ Fed อาจลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในปีนี้ เนื่องจากปลายปีจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งในช่วงเลือกตั้งหากคุมเงินเฟ้อไม่อยู่ อาจมีผลกระทบต่อฐานเสียงประธานาธิบดีได้ ดังนั้น ประเด็นนี้อาจจะทำให้ Fed ไม่ลดดอกเบี้ยเร็วเพราะกังวลประเด็นเงินเฟ้อ

ส่วนการเลือกตั้งสหรัฐฯ มองว่าจะทำให้ตลาดการลงทุนมีความผันผวน แม้ผลการเลือกตั้งจะออกมาว่า โดนัลด์ ทรัมป์ หรือตัวแทนจากพรรคเดโมแครตเป็นประธานาธิบดีก็ตาม จะไม่ได้เปลี่ยนทิศทางนโยบายสหรัฐฯ แบบสิ้นเชิง เพราะเป้าหมายนโยบายคล้ายกัน คือ เป็นมิตรกับจีนน้อยลง แต่ด้วยวิธีการดำเนินนโยบายแตกต่างกัน หาก ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี จะดำเนินนโยบายสุดโต่งกว่า ทำให้เกิดความไม่แน่นอนด้านนโยบายเพิ่มขึ้น และคาดว่าจะส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นได้มากกว่าตัวแทนจากพรรคเดโมแครต เนื่องจากการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามนโยบายปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและคงภาษีเงินได้นิติบุคคล แตกต่างจากตัวแทนจากพรรคเดโมแครตที่จะปรับเพิ่มอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผู้มีรายได้สูง และภาษีเงินได้นิติบุคคล อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจมีความผันผวนมากขึ้น นักลงทุนจึงต้องอาศัยการจับจังหวะเวลาลงทุน ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอาจผันผวนมากเป็นพิเศษ โดยมีแนวโน้มแข็งค่า จากการที่นักลงทุนมุ่งหาสินทรัพย์ปลอดภัย เช่นเดียวกับความต้องการลงทุนทองคำที่จะสูงขึ้น

สำหรับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมองว่า ทั้งทรัมป์และตัวแทนจากพรรคเดโมแครตจะยังสนับสนุนการเติบโตของกลุ่มเทคโนโลยี ที่เกี่ยวกับ AI เพื่อแข่งขันกับจีน ด้วยรูปแบบที่ต่างกัน โดยทรัมป์มีแนวโน้มให้เอกชนเป็นผู้ขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีมากกว่าการใช้งบประมาณภาครัฐ มุ่งเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนของภาคเอกชน ส่วนตัวแทนจากพรรคเดโมแครตจะยังให้เงินทุนสนับสนุนศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับภูมิภาคใน 14 รัฐ เพื่อเร่งการเติบโตของนวัตกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ พลังงานสะอาด ชีวเทคโนโลยี และ AI

ทั้งนี้ SCB WEALTH มองว่า หากต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่ดี อาจต้องกระจายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ในต่างประเทศ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนในต่างประเทศ ที่มีอายุตราสารเท่ากับของไทย ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าของไทย และมีความหลากหลายของกลุ่มอุตสาหกรรมให้เลือกลงทุนมากกว่าอีกด้วย นอกจากนี้ กำไรบริษัทจดทะเบียนในต่างประเทศยังมีแนวโน้มเติบโตค่อนข้างดี โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ AI ซึ่งไทยยังมีกลุ่มดังกล่าวอยู่จำนวนน้อย

สำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ระดับปานกลางถึงสูง เราแนะนำให้จัดพอร์ตลงทุน โดยแบ่งเงินลงทุนเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คือ พอร์ตลงทุนหลัก (Core Portfolio) ลงทุนระยะยาว 1 ปีขึ้นไป มีสัดส่วนมากกว่า 50% ขึ้นไป ควรกระจายลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ 3 วัตถุประสงค์หลัก ได้แก่ 1) สร้างกระแสเงิน ทำให้พอร์ตมีเสถียรภาพ แนะนำลงทุนในหุ้นกู้เอกชนต่างประเทศที่มีคุณภาพสูง (Investment Grade) และ ตราสารหนี้นอกตลาด (Private Credit) ที่ให้ผลตอบแทนน่าสนใจกว่าหุ้นกู้เอกชนในตลาด โดยสามารถเลือกคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดความเสี่ยงได้ เช่น มีสิทธิเรียกร้องการชำระหนี้ลำดับแรกและมีหลักประกัน เป็นต้น โดยอาจเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ เพื่อให้สามารถกระจายการลงทุนได้ดียิ่งขึ้น เช่น SCB Senior Loan (SCBSNLOAN) และ BCRED-O

2) สร้างการเติบโตให้พอร์ต ควรลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่กำไรบริษัทจดทะเบียนยังมีโอกาสเติบโต และส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม new economy รวมถึงหุ้นในห่วงโซ่อุปทาน AI ที่สอดคล้องกับการลงทุนและใช้งาน AI เช่นกองทุนSCBSEMI(A) และ TISCOAI รวมทั้งกลุ่มหุ้นคุณภาพสูง (Quality) ที่ทำให้มูลค่าหุ้นเติบโตได้ในระยะยาว มีความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ ได้แก่ กองทุน ES-GQG ด้านตลาดหุ้นไทย ดัชนีปรับลดลงมามาก Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ ยังสามารถสะสมเข้าพอร์ตลงทุนในระยะยาวได้ แต่ไม่ใช่การลงทุนแบบครอบคลุมทั้งดัชนี ต้องเน้นการคัดเลือกหุ้นแบบ Bottom up มากขึ้น เช่น TH Alpha Fund ซึ่งเป็นกองทุนส่วนบุคคลที่บริหารโดย InnovestX เน้นลงทุนหุ้นไทยโดยวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานลงทุนในหลักทรัพย์เพียง 7-15 บริษัทเท่านั้น

3) ป้องกันความเสี่ยงของพอร์ต แนะนำลงทุนในทองคำ เพื่อช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ และความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ได้อย่างดี รวมทั้งลงทุนในหุ้นกู้อนุพันธ์ที่จ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน หรือ Dual Currency Note (DCI) เพื่อป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน สามารถซื้อสกุลเงินต่างประเทศในราคาที่พึงพอใจ พร้อมโอกาสรับผลตอบแทนเมื่อครบอายุตราสารได้ อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีกองทุนผสมที่จัดสรรสินทรัพย์ลงทุนในรูปแบบเดียวกับ Core Portfolio และมีผู้จัดการกองทุนที่ผู้เชี่ยวชาญปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนให้ตามสถานการณ์ ให้ผู้ลงทุนได้เลือกลงทุน เช่น SCBGA(A)

ส่วนที่สอง คือ การลงทุนบนพอร์ตเสริม (Opportunistic Portfolio) ซึ่งเป็นการลงทุนในระยะสั้น น้อยกว่า 1 ปี รับปัจจัยบวกระยะสั้นของตลาดนั้นๆ และยังมี Valuation ไม่แพง ได้แก่ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ที่ได้อานิสงส์จากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อยู่ในวัฏจักรขาขึ้นและกำไรมีแนวโน้มเติบโตโดดเด่น ตลาดหุ้นเวียดนาม ที่คาดว่าเศรษฐกิจได้รับผลจากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนไม่มาก ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มดี ตลาดหุ้นยุโรปเริ่มเห็นการฟื้นตัวของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน อีกทั้งผลตอบแทนมีแนวโน้มดีกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นจีน H-Share ที่ได้อานิสงส์ความคาดหวังการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในการประชุม 3rd Plenum และ politburo เดือน ก.ค.นี้ อีกทั้งทางการยังส่งเสริมการซื้อหุ้นคืนและจ่ายเงินปันผล
กำลังโหลดความคิดเห็น