โบรกเกอร์ประเมินหุ้นไทยปีนี้ “Underperform” หุ้นโลกต่อเนื่อง หลังหลากหลายปัจจัยลบรุมเร้า โดยเฉพาะการเมืองที่ยังไม่ชัดเจน กดดันหุ้นไทยไปได้ไม่ไกล ระบุตั้งแต่ต้นปี (YTD) SET Index ลดลงราว 8.6% คาดระยะสั้นมีโอกาสดิ่งทดสอบจุดต่ำสุดเดิมที่ 1,280 จุด และหากหลุดระดับดังกล่าวอาจทดสอบแนวรับใหม่ที่ 1,200 จุด กลยุทธ์ลงทุน เลือกหุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ปัจจัยพื้นฐานแกร่ง
กรุงศรีแนะนำ 2 ธีม ลงทุนหุ้นปันผล-หุ้น Underperform กว่าตลาดหุ้นไทย
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.กรุงศรี ระบุว่า ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ในปี 2567 ยัง “Underperform” ตลาดหุ้นโลกต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี (YTD) ปรับตัวลงราว 8.6% โดยการปรับตัวลดลงเร่งขึ้นในระยะหลังจากปัญหาความไม่ชัดเจนการเมือง
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำการลงทุนแบบระยะกลาง-ยาว ทยอยสะสมหุ้นในจุดที่มี Margin of Safety สูง ใน 2 ธีมเด่น ดังนี้
1.กลุ่มปันผลสูงให้ Dividend Yield มากกว่า 4%/ปี และธุรกิจมีความมั่นคง ได้แก่ SCB, AP, ICHI, PTT, BBL, INTUCH, ADVANC, HMPRO, BJC, WHA และ TU
2.หุ้นในกลุ่มที่ Underperform กว่าตลาดหุ้นไทย แต่พื้นฐานระยะกลาง-ยาวยังแข็งแกร่ง Valuation ถูก ได้แก่ BTS, IVL, LH, HMPRO, KCE, PTTGC, GPSC, HANA และ GULF
ASPS ชี้ 2 คดีใหญ่การเมืองมีผลต่อตลาดหุ้นไทยมาก
ด้านบทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า SET Index ในช่วงนี้ยังปรับตัวขึ้นได้ยาก เนื่องจากมีประเด็นกดดันหลากหลาย ทั้งความไม่แน่นอนการเมือง การดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลที่เลื่อนออกไป โดยเฉพาะกองทุน TESG ใหม่ รวมถึงความกังวลการ Rollover หุ้นกู้ในช่วงนี้ด้วย
อย่างไรก็ดี การปรับตัวลงของดัชนีหุ้นไทยในช่วงนี้ยังไม่มีแนวโน้มรุนแรงอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเห็นการทำงานของกฎ Uptick Rrule จากปริมาณการ Short Sell เดือน ก.ค.นี้ เหลือเพียง 4.35% ของมูลค่าซื้อขาย (ค่าเฉลี่ยปีนี้ 11%) และนักลงทุนต่างประเทศเริ่มกลับมาซื้อทางตรงบ้าง (ซื้อสุทธิหุ้นไทยติดต่อ 5 วัน) ที่สำคัญกว่านั้น คือ เห็นเม็ดเงินที่มีการไหลเข้าผ่าน NVDR สูงถึง 1.2 หมื่นล้านบาท ตั้งแต่ต้นเดือน ช่วงพยุง SET Index ไม่ให้ปรับตัวลงแรงในเดือนนี้ได้
ส่วนประเด็นการเมือง มองว่า 2 คดีใหญ่ทางการเมืองไทยมีผลต่อตลาดหุ้นไทยอย่างมาก โดยให้น้ำหนักไปที่คดีนายกฯ มากสุด ถ้าศาลนัดฟังคำวินิจฉัยแล้วนายกฯ ถูกถอดถอน ตลาดหุ้นน่าจะถูกตีความในเชิงลบ เพราะคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปัจจุบัน จะพ้นสภาพไปด้วย และต้องมีการโหวตเลือกนายกฯ ใหม่ ซึ่งอาจกระทบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่เตรียมไว้ต้องชะลอออกไปเช่นกัน
ดังนั้น ความไม่แน่นอนทางการเมืองไทยยังต้องติดตามต่อ โดยจะรู้ผลลัพธ์ในเดือนหน้า จะเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดหุ้นไทยระยะถัดไป และในช่วงเวลาก่อนรู้ผล (ปัจจุบัน) น่าจะกดดันให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนต่อไป
แต่หากนายกฯ ไม่ถูกถอดถอน การดำเนินนโยบายต่างๆ ยังเป็นไปตามกระบวนการตามปกติ ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มจะตอบสนองเชิงบวก ขณะที่การตัดสินยุบพรรคก้าวไกล ถ้ามีการยุบพรรค สส.ภายในพรรค สามารถย้ายพรรคได้ภายใน 60 วัน ซึ่งไม่น่าจะกระทบต่อฐานจำนวน ส.ส. ของพรรคร่วมรัฐบาล แต่หากไม่ถูกสั่งให้ยุบพรรค ท่าทีของพรรคฝ่ายค้านทางสภาจะร้อนแรงและแข็งแกร่งมากขึ้น
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำสะสมหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว โดยเป็นหุ้นในกลุ่มที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และนักลงทุนต่างประเทศทยอยสะสมผ่าน NVDR เช่น CPALL, ADVANC, KBANK, IVL, PTTGC, BGRIM, BH, AWC, GPSC, BEM, PLANB จะช่วยลดความเสี่ยงในช่วงดัชนีผันผวนในช่วงนี้ได้
กสิกรมองหลุดแนวรับแรก 1,280 จุด รับถัดไปเจอกัน 1,200 จุด
นายรัฐศักดิ์ พิริยะอนนท์ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า SET Index ในช่วงนี้ยังถูกปัจจัยลบจากทั้งในประเทศ และต่างประเทศกดดัน ทำให้ระยะสั้นมีโอกาสที่ดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวลงไปทดสอบจุดต่ำสุดของปีนี้ที่ 1,280 จุดได้เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงต่อ SET Index มากที่สุดในช่วงนี้ยังเป็นเรื่องความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่จะมี 2 คดีสำคัญรอตัดสินในช่วงต้นเดือน ส.ค.ที่จะถึงนี้ โดยให้น้ำหนักต่อการตัดสินคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรีของ "เศรษฐา ทวีสิน" จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นมากที่สุด ซึ่งวันที่ 14 ส.ค.นี้ หากมีคำตัดสินที่ไม่เป็นบวกกับนายกฯ มีโอกาสที่ SET Index จะเคลื่อนไหวหลุดระดับแนวรับแรกที่ 1,280 จุด ไปทดสอบแนวรับถัดไปที่บริเวณ 1,200 จุด ได้เช่นกัน
"ถ้าดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมาอยู่ในระดับ 1,280 จุด ถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะทยอยเข้าสะสมหุ้นได้เหมือนกัน แต่ต้องเลือกหุ้นเป็นรายตัว (Selective Buy) ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว จะช่วยต้านทานสถานการณ์ที่ดัชนียังผันผวน" นายรัฐศักดิ์ กล่าว