หุ้นไทยปิดร่วงแรง -15.60 จุด นักวิเคราะห์เผยแรงกดดันผลประกอบการกลุ่มแบงก์กระทบตลาดหลังผลประกอบการงวดบัญชีไม่เด่น อีกทั้งยังตั้งสำรองสูง นอกจากนี้ยังมีหุ้นกลุ่มอื่นๆที่เกี่ยวข้องเช่น ไฟแนนซ์ ที่มีตัวเลขไม่ดี ขณะเดียวกันหุ้น EA ร่วงแรงไม่เลิกยังคง สร้างความกังวลต่อตลาดหุ้นกู้ และตลาดทุนเองยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุน และกองทุน Thai ESG ก็ยังไม่เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ ประเมินกรอบการลงทุนวันพรุ่งนี้ มองแนวรับที่ 1,290 จุด ส่วนแนวต้านที่ 1,315 จุด แนะติดตามดัชนี PMI และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล PCE ของสหรัฐรวมถึงท่าทีการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ
ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 23 ก.ค. 2567 ปรับตัวลดลง -15.60 จุด หรือ -1.18% โดยปิดตลาดที่ 1,301.54 จุด มูลค่าซื้อขายราว 40,319.60 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมการซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับตัวลดลงแรง โดยระหว่างวันปรับตัวขึ้นสูงสุด 1,321.21 จุด ขณะที่ในทิศทางขาลงที่ปรับตัวลดลงต่ำสุด 1,300.04 จุด
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้นจำนวน 75หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน 107 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลงจำนวน 484 หลักทรัพย์
ด้านปริมาณการซื้อขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนสถาบันขายสุทธิกว่า -681.93 ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิกว่า +70.57 ล้านบาท นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิกว่า +295.43 ล้านบาท และ บัญชี บล. ซื้อสุทธิกว่า +315.93 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.EA มูลค่าการซื้อขาย 2,292.45 ล้านบาท ปิดที่ 3.72 บาท ลดลง 1.33 บาท
2.KTB มูลค่าการซื้อขาย 1,613.79 ล้านบาท ปิดที่ 17.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท
3.BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,609.61 ล้านบาท ปิดที่ 133.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท
4.BDMS มูลค่าการซื้อขาย 1,237.92 ล้านบาท ปิดที่ 26.75 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
5.INTUCH มูลค่าการซื้อขาย 1,083.29 ล้านบาท ปิดที่ 78.25 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.BBL ปิดที่ 133.50 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท หรือ 0.75 %
2.KTB ปิดที่ 17.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท หรือ 4.68 %
3.KBANK ปิดที่ 128.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาทหรือ 0.39%
4.BTS ปิดที่ 4.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.28 บาทหรือ 6.80 %
5.MEGA ปิดที่ 37.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาทหรือ 0.68%
ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.SAPPE ปิดที่ 87.25 ลดลง 4.75 บาทหรือ 5.16%
2.ADVANC ปิดที่ 224 บาท ลดลง 4 บาท หรือ 1.75 %
3.SCC ปิดที่ 224 บาท ลดลง 3 บาทหรือ 1.32%
4.CBG ปิดที่ 64.75 บาท ลดลง 2.50 บาทหรือ 3.72 %
5.EGCO ปิดที่ 100.50 บาท ลดลง 2.50 บาทหรือ2.43%
ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 1,781.04 จุด ลดลง -19.39 จุด หรือ -1.08% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 815.89 จุด ลดลง -6.98 จุด หรือ -0.85% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 327.92 จุด ลดลง -8.87 จุด หรือ -2.63%
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับลงแรงกลับไปใกล้แนวรับจิตวิทยาที่ 1,300 จุด จากแรงกดดันผลประกอบการกลุ่มแบงก์ไม่ได้โดดเด่น แม้ออกมาใกล้เคียงคาดแต่ยังคงตั้งสำรองสูง ทำให้เห็นสัญญาณความกังวล ส่งผลไปยังหุ้นกลุ่มอื่นๆ เช่น ไฟแนนซ์ อีกทั้งหุ้น EA ร่วงแรงสร้างความกังวลต่อตลาดหุ้นกู้ ส่งผลกระทบต่อหุ้นขนาดกลางและเล็กปรับตัวลงถ้วนหน้า
ขณะที่ตลาดฯ ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุน และกองทุน Thai ESG ก็ยังไม่เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้
"แนวโน้มพรุ่งนี้คาดตลาดแกว่งออกข้างรอปัจจัยต่าง ๆ แนะติดตามนายกรัฐมนตรีแถลงความชัดเจนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ส่วนประเด็นทางการเมืองศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาคดีคุณสมบัตินายกฯ วันพรุ่งนี้คาดยังไม่ได้ข้อสรุป จึงเป็นประเด็น Overhang ตลาดหุ้นไทยต่อไป อีกทั้งต้องติดตามการทยอยประกาศงบเป็นปัจจัยใหญ่ถัดไปที่ตลาดจับตา หากงบ บจ.ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาดจะหนุน SET ฟื้นตัวได้ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ทั้งดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI),ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนมิ.ย. และแนวโน้มการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เป็นต้น โดยมองแนวรับที่ 1,290 จุด ส่วนแนวต้าน 1,315 จุด" นายวิจิตร กล่าวทิ้งท้าย