ตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังเริ่มเห็นสัญญาณบวกกลับมาดูดีขึ้นบ้างแล้ว หลังจากช่วงที่ผ่านมาเผชิญหลายปัจจัยรุมเร้า โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของการเมืองในประเทศ เป็นผลให้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย (YTD) ไปแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท และส่งผลให้ดัชนี SET ลงไปทำ New Low ต่อเนื่อง นับตั้งแต่ต้นปี 67 ดัชนี SET ขึ้นไปสูงสุด 1,438.10 จุด (ณ วันที่ 5 ม.ค.) ก่อนจะปรับลงต่อเนื่องมาทำจุดต่ำสุด 1,281.87 จุดเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ถือว่าต่ำสุดในรอบกว่า 4 ปี โดยลดลงไป 156.23 จุด หรือลงไปถึง -10.86%
ด้วยปัจจัยลบที่เข้ามากระทบดัชนี SET ในครึ่งปีแรก เป็นเหตุให้โบรกเกอร์ได้มีการทบทวนเป้าหมายดัชนีสิ้นปี 67 อีกครั้ง
แต่ล่าสุด โบรกเกอร์เริ่มหันมาทบทวนคาดการณ์กันใหม่ว่าครึ่งปีหลังตลาดหุ้นไทยดาวน์ไซด์เริ่มจำกัด ด้วยความคาดหวังปัจจัยการเมืองมีโอกาสคลี่คลายหนุนเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ประกอบกับการยกระดับมาตรการกำกับดูแลการขายชอร์ตน่าจะช่วยชะลอแรงขายของต่างชาติ ช่วยฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุนได้บ้าง ขณะเดียวกัน คาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยลง 1 ครั้งในปีนี้ด้วย จะส่งผลดีต่อเงินทุนต่างชาติที่จะไหลกลับมายังตลาดเอเชีย
*อัปเดตเป้าหมายดัชนีหุ้นไทย ปี 67
โบรกเกอร์ เป้าหมายใหม่ (จุด) คาดการณ์เดิม (จุด)
หยวนต้า 1,520 คงเดิม
บัวหลวง 1,539 1,620
ซีจีเอสฯ 1,480 1,560
พาย 1,540 คงเดิม
ยูโอบีฯ 1,585 1,600
กสิกรไทย 1,450 1,470
กรุงศรี 1,600 1,680
ฟินันเซียไซรัส 1,470 1,520
ฟิลลิป 1,450-1,470 1,500-1,650
*หยวนต้า คาดหุ้นไทย H2/67 ฟื้น รับปัจจัยบวกใน-ตปท.
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คาดว่า หุ้นไทยครึ่งปีหลังนี้น่าจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก โดยมี 3 ปัจจัยหนุน ได้แก่ 1.การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น เนื่องจากเชื่อว่าคดีถอดถอนนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะมีความชัดเจนเร็วๆ นี้ เพราะยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมามีส่วนกดดันตลาดหุ้นไทยให้ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง
ในประเด็นนี้ ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาครั้งต่อไปคดี 40 ส.ว.ยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรีในวันที่ 10 ก.ค.นี้ มีความเป็นไปได้ทั้ง 2 ทาง คือ นายเศรษฐา ยังคงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป กับถูกถอดถอน ซึ่งในกรณีหลังอาจกดดันให้ SET ปรับลงได้ต่อ เพราะเป็นความเสี่ยงต่อการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 ทำให้ต้องล่าช้าออกไปอีก ตลอดจนความเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า
แต่ถึงแม้ว่านายเศรษฐา อาจถูกถอดถอน แต่เชื่อว่ากระบวนการถัดไปคือรัฐสภาเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ จะยังเป็นคนจากรัฐบาลชุดเดิม ไม่น่าเห็นการพลิกขั้ว และคาดจะใช้เวลาไม่นานอาจจะราว 1-2 เดือน หลังจากนั้นการเมืองจะมีเสถียรภาพมากขึ้น จากปัจจัยต่างๆ ที่คลี่คลายลง และเมื่อไม่พลิกขั้วไตรมาส 4/67 จะได้เงินดิจิทัลวอลเล็ตเข้ามาหนุนให้เศรษฐกิจเริ่มเห็นการฟื้นตัวชัดเจนขึ้น
2.มาตรการของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ใช้เกณฑ์ Uptick Rule (Short ที่ราคาสูงกว่าหรือมากกว่าราคาล่าสุด) ในวันที่ 1 ก.ค. ซึ่งจะส่งผลให้การ Short หุ้นทำได้ยากมากขึ้น เพิ่มบทระวางโทษสมาชิกให้สูงขึ้น 3 เท่า การเปิดเผยข้อมูลผู้ลงทุนที่มีพฤติกรรมการซื้อขายไม่เหมาะสมให้แก่บริษัทสมาชิกทุกรายทราบ เป็นต้น เพื่อป้องปรามการทำ Naked Short เชื่อว่าจะช่วยจำกัด Downside ให้ตลาดได้
3.การปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) น่าจะเริ่มขึ้นในเดือน ก.ย.นี้ จะส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงหนุนเงินบาทแข็งค่าขึ้น ส่งผลดีต่อเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) คาดว่าเริ่มสลับกลับเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทยได้บ้าง หลังจากเทขายหุ้นไทยอย่างหนักไปในช่วงที่ผ่านมา
นายณัฐพล มองกรอบดาวน์ไซด์ SET ครึ่งปีหลังที่ 1,200 จุด บน P/E ที่ 13 เท่า เท่ากับดัชนี MSCI Asia ex Japan มองระดับความกังวลต่อการเมืองในประเทศอาจกดดันให้ดัชนีลงไปราว 10% (อิงจากภาพความวุ่นวายทางการเมืองในอดีตที่กดดัน SET ให้ปรับตัวลงเฉลี่ย 10%) ขณะที่อาจมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากปัจจัยการเมืองระหว่างประเทศ ที่อาจกระทบต่อดัชนีให้ปรับตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
ส่วนกรอบแนวต้านด้านบน คงไว้ที่ 1,520 จุด จากปัจจัยบวกที่มองว่ากำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ยังอยู่ในทิศทางที่ดี คาดหวังการเมืองคลี่คลายเร็ว เงินดิจิทัลวอลเล็ตหนุน แต่มีโอกาสที่จะเห็นการปรับเป้าหมาย SET ลง หากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 ยังล่าช้า เป็นความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกืจ
กลยุทธย์การลงทุนในครึ่งปีหลัง แนะนำหุ้นที่ผลประกอบการมีทิศทางฟื้นตัวชัดเจน เช่น กลุ่มเกษตรและอาหาร อย่าง บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) คาดปีนี้พลิกกำไร กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อย่าง บมจ.ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส (HANA) ที่ได้ประโยชน์จาก AI ในระยะยาว และกลุ่มหุ้น Defensive อย่าง บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) จากการปรับขึ้นค่าโดยสาร MRT เป็นต้น
*กสิกรไทย ชู Uptick Rule-กองทุน ThaiESG ใหม่ฟื้นเชื่อมั่น
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า หลังจาก SET ลงมาหลุด 1,300 จุด และไปเคลื่อนไหวใกล้ๆ บริเวณแนวรับ 1,280 จุด มองว่าดัชนีเริ่มมี Downside ค่อนข้างจำกัดมากแล้ว แต่การที่ SET ลงมาอย่างต่อเนื่องภายใน 2 เดือนลงมาถึง 100 จุด และ Underperform ดัชนี MSCI Global ราว 50% สวนทางกับดัชนีหุ้นโลกที่ปรับตัวขึ้น ทำให้ปรับลดเป้าดัชนี SET สิ้นปี 67 มาที่ 1,450 จุด จากเดิม 1,470 จุด
อย่างไรก็ตาม ภาพความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยเริ่มมีมากขึ้น หลังจากลงมามากจนทำให้ส่วนต่างอัตราผลตอบแทน (Earning Yield Gap) ของตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นมาเท่าตัวที่ 4% จากก่อนหน้าที่ 2% ซึ่งเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับผลตอบแทนของตลาดหุ้นโลก ประกอบกับความหวังของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังนี้จะเติบโตได้มากขึ้น จากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่จะทำให้มีการลงทุนต่างๆ เพิ่มขึ้น มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาเพิ่ม ทำให้ Momentum ของตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังมีโอกาสฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้
ขณะเดียวกัน ความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนในประเทศคาดว่ามีโอกาสฟื้นกลับมาในช่วงครึ่งปีหลัง จากการเริ่มบังคับใช้มาตรการ Uptick Rule ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ทำให้การกดราคาหุ้นให้ต่ำลงมีข้อจำกัดมากขึ้น รวมถึงมาตรการควบคุม Short Sell ทำให้การทำธุรกรรมมีข้อจำกัดมากขึ้นด้วยเช่นกัน
นอกจากนั้น การที่ประธานกรรมการ ตลท.วางนโยบายฟื้นความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย และการมีผู้จัดการ ตลท.คนใหม่เข้ามา จะช่วยทำให้ฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมาได้ อีกทั้งการที่กระทรวงการคลังจะผลักดันปรับเกณฑ์กองทุน ThaiESG หากยังคงเน้นลงทุนเฉพาะในตลาดหุ้นไทยเท่านั้น จะช่วยหนุนต่อดัชนี SET ได้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของนักลงทุนต่างชาติ ยังรอความชัดเจนของปัจจัยการเมือง เพราะเสถียรภาพของการเมืองมีผลต่อการพิจารณางบประมาณปี 68 เพราะปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเลือกขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง โดย 6 เดือนที่ผ่านมาขายไปแล้วราว 1 แสนล้านบาท และมีสัดส่วนถือครองหุ้นไทยเหลือ 27% จากช่วง 10 ปีก่อนที่ถือครองหุ้นไทย 37% ซึ่งจะต้องรอดูว่าทิศทางของนักลงทุนต่างชาติจะตัดสินใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างไร
*พาย มอง H2/67 มีอัปไซด์มากกว่าดาวน์ไซด์
นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย กล่าวว่า ตลาดหุ้นครึ่งปีแรกดูไม่ค่อยดีนัก จากกระแสนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิออกไปมาก หากนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันขายไปกว่า 1 แสนล้านบาท เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ในระดับต่ำ เห็นได้จากไตรมาส 1/67 GDP ขยายตัวได้เพียง 1.5% ประกอบกับ ยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนของการเมืองเข้ากดดันเพิ่ม
แต่ครึ่งปีหลังยังมองว่า SET มีอัปไซด์มากกว่าดาวน์ไซด์ จากการเมืองน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น หลังจากคดีที่ 40 ส.ว.ยื่นศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนนายกรัฐมนตรี ทำให้ดัชนีปรับฐานลงมาแล้วราว 7% และการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 1/67 อิงข้อมูลจาก Bloomberg consensus คาด GDP ไตรมาส 2/67 จะกลับมาเติบโตราว 2% และไตรมาส 4/67 จะเติบโตสูงสุดราว 3.8% ทำให้เฉลี่ยทั้งปีคาด GDP จะเติบโต 2.5%
ปัจจัยหนุนมาจากการลงทุนภาครัฐ และ เทศกาลท่องเที่ยวเข้ามาช่วยให้การบริโภคให้ฟื้นตัว อีกทั้งเชื่อว่ามาตรการกำกับดูแลการขายชอร์ต โดยเฉพาะ Uptick Rule จะเป็นตัวเปลี่ยนเกม ทำให้การ Short ทำได้ยากขึ้น ช่วยชะลอแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงคาดว่าจะเห็นการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด 1 ครั้งในปีนี้ 1 ครั้ง ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อเงินทุนต่างชาติไหลกลับมาในตลาด Emerging Market
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลังยังมีความเสี่ยงที่ยังต้องติดตาม คือ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจการเมืองโลก ดังนั้น คงเป้า SET สิ้นปีนี้ไว้ที่ 1,540 จุด แนวรับอยู่ที่ 1,200 จุด มองว่า P/E อยู่ที่ 13 เท่า ถือว่าไม่แพง และคาดการณ์กำไร บจ.(EPS) ที่ 100 บาท/หุ้น
กลยุทธ์ลงทุน แนะเป็นจังหวะทยอยเก็บหุ้นเข้าพอร์ต โดยเน้นหุ้น Domestic Play เช่น กลุ่มค้าปลีก บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ท่องเที่ยว บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) โรงแรม บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) และบมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) รวมถึงธนาคารพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ (BBL)
ขณะที่การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นโลก หุ้นที่ยัง Outperform ได้แก่ หุ้นเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้น 7 นางฟ้า