xs
xsm
sm
md
lg

KKP Research ฉายภาพริงกิตอ่อนยวบ จับตาบาทตามรอย?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) มองว่าดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดลงอย่างถาวรเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ค่าเงินริงกิตอ่อนค่าต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2556 และไม่กลับไปที่ระดับเดิมอีกเลย เนื่องจากมาเลเซียสูญเสียความสามารถของการแข่งขันในภาคส่งออกและต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานเพิ่มขึ้น ขณะที่การอ่อนค่าในปี 2565 มาจากอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของมาเลเซียที่อยู่ต่ำกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ทั้งนี้ มาเลเซียพยายามยกระดับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออก ซึ่งหากทำได้สำเร็จจะช่วยสนับสนุนดุลบัญชีเดินสะพัดและค่าเงินริงกิตในระยะข้างหน้าได้

ขณะที่ไทยเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างหลายอย่างที่คล้ายคลึงกับมาเลเซีย ซึ่งอาจทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่า เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับริงกิตได้หากไม่ได้รับการแก้ไข

**ทำไมค่าเงินริงกิตจึงร่วงหนัก**
ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ค่าเงินริงกิตของมาเลเซียกลายเป็นประเด็นพาดหัวข่าวจากการอ่อนค่าจนทะลุ 4.8 ริงกิตมาเลเซียต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 26 ปีนับตั้งแต่ปี 2541 ในช่วงวิกฤตการเงินเอเชีย (Asian Financial Crisis) และถือเป็นสกุลเงินที่อ่อนค่ามากที่สุดสกุลหนึ่งในภูมิภาค บทความฉบับนี้จึงอยากย้อนดูพัฒนาการของค่าเงินริงกิตตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่อทำความเข้าใจว่าอะไรเป็นตัวขับเคลื่อนให้ค่าเงินริงกิตอ่อนค่าเช่นนี้
**ริงกิตอ่อนค่าต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2556**
หากเราย้อนดูอดีตจะพบว่าค่าเงินริงกิตเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่ามาตั้งแต่ปี 2556 แล้ว โดยหากดูการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินจะพบว่าในช่วงปี 2556-2559 ค่าเงินริงกิตอ่อนค่าลงเกือบ 50% โดยในปี 2558 ปีเดียวอ่อนค่าแรงถึง 22.8% และการอ่อนค่าดังกล่าวเป็นการปรับฐานของค่าเงินริงกิตไปสู่จุดสมดุลใหม่อย่างถาวร โดยหลังจากนั้นเราแทบไม่เห็นค่าเงินริงกิตกลับมาระดับแข็งค่ากว่า 4 ริงกิต/ดอลลาร์สหรัฐอีกเลย
**การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของดุลบัญชีเดินสะพัด**
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ค่าเงินริงกิตอ่อนค่าไปอย่างถาวร คือ การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของดุลบัญชีเดินสะพัดของมาเลเซีย ซึ่งก่อนหน้านี้ ดุลบัญชีเดินสะพัดของมาเลเซียเคยอยู่ในระดับราว 15% ของ GDP แต่หลังปี 2553 เป็นต้นมา ได้ปรับลดลงมาเหลือเพียง 2-3% ของ GDP เท่านั้น

หากดูในรายละเอียดจะพบว่าดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดลงมาจากดุลการค้า (Trade balance) ที่เกินดุลลดลงอย่างมากเป็นสำคัญ จากระดับ 20% ของ GDP ลงมาเหลือเพียงครึ่งเดียวที่ระดับ 10% ของ GDP เท่านั้น ซึ่งมาจาก 2 เหตุผลหลัก ได้แก่

ข้อแรก การสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในสินค้าส่งออกหมวดอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ นับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา มาเลเซียเริ่มสูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้คู่แข่ง เช่น จีนและเวียดนาม ที่ได้เปรียบด้านค่าแรงที่ถูกกว่า จึงทำให้มาเลเซียสูญเสียส่วนแบ่งตลาดจากเดิมที่เคยมีส่วนแบ่งถึงเกือบ 1 ใน 4 ในตลาดโลก ลดลงมาเหลือเพียง 10% เท่านั้น ดุลการค้าในส่วนของเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้าจึงลดลงจาก 11% ในปี 2545 เหลือเพียง 3-5% ของ GDP ในปี 2555-2556

โดยหลังจากนั้น ทางรัฐบาลมาเลเซียได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ที่จะเพิ่มมูลค่าให้อุตสาหกรรมอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์จากเดิมที่มุ่งเน้นแต่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ (low value-added) และอาศัยแรงงานมาก (labor-intensive) มาเน้นสินค้าที่อาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงและมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ทำให้ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา ดุลการค้าในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้าของมาเลเซียทยอยเพิ่มขึ้นจนกลับมาสู่ระดับเดิมได้ แต่ยังไม่สามารถช่วยให้ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาจุดเดิมได้ เนื่องจากมาเลเซียต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในอีกหนึ่งด้านที่สำคัญ

ข้อสอง การเปลี่ยนจากประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมัน (Net oil exporter) มาสู่ประเทศผู้นำเข้าน้ำมันเข้ามาบริโภค (Net oil importer) ดุลการค้าผลิตภัณฑ์แร่ธาตุ (mineral products) ซึ่งรวมถึงน้ำมัน เคยอยู่ที่ราว 5-6% ต่อ GDP ในช่วงปี 2545-2554 ได้ปรับลดลงต่อเนื่องจนเหลือเพียง 1% ของ GDP เท่านั้นในช่วงหลังโควิด ซึ่งสะท้อนการผลิตน้ำมันดิบได้ลดลงในมาเลเซีย จากเคยผลิตได้สูงสุดอยู่ที่ 800,000 บาร์เรลต่อวัน ลดลงเหลือเพียง 600,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2022 ตามสภาพที่เสื่อมลงของแหล่งน้ำมันที่ผลิตมานาน (brown firld) และการค้นพบแหล่งน้ำมันใหม่ที่น้อยลง สวนทางกับการบริโภคที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2545 ตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร
ปัจจัยภายนอกและภายในซ้ำเติมริงกิต
นอกจากนี้ ในปี 2558 ยังมีอีก 2 ปัจจัยที่มาซ้ำเติมค่าเงินริงกิตของมาเลเซีย โดยปัจจัยแรก คือ ปัญหาภายในจากการฉ้อโกงของกองทุนเพื่อการพัฒนามาเลเซีย ซึ่งจากการสอบสวนของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ คาดว่ามูลค่าความเสียหายทั้งหมดสูงถึงกว่า 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.5% ของ GDP มาเลเซียในปี 2558 ความเสียหายดังกล่าวส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติและสร้างความกังวลว่าประเทศอาจโดนลดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit rating) จากหนี้สาธารณะที่จะปรับสูงขึ้น ทำให้เกิดการแห่ถอนเงินทุนออกจากมาเลเซีย

อีกหนึ่งปัจจัยเป็นปัจจัยภายนอกจากการที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศลดค่าเงินหยวนในเดือนสิงหาคม 2558 ทำให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงกว่า 4.4% ในระยะเวลาเพียง 3 วัน จากระดับ 6.1162 สู่ระดับ 6.4010 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากค่าเงินหยวนที่มีแนวโน้มแข็งค่ามาตลอดตั้งแต่ปี 2548 ทำให้การส่งออกของจีนเริ่มสูญเสียความสามารถในการแข่งขันมาตลอด เศรษฐกิจที่ชะลอลงต่อเนื่องจากที่เคยโตระดับ 10% ในช่วงหลังวิกฤตการเงินโลกมาอยู่ที่ระดับ 7% เท่านั้นในปี 2558 ประกอบกับการส่งออกที่หดตัวเกือบตลอดทั้งปีทำให้จีนตัดสินใจลดค่าเงินเพื่อกระตุ้นการส่งออก ส่งผลให้สกุลเงินภูมิภาคปรับอ่อนค่าตามลงมาเช่นกัน โดยเฉพาะมาเลเซียที่มีจีนเป็นคู่ค้าสำคัญรายใหญ่ที่สุด (สัดส่วนการค้าขายของมาเลเซียกับจีนสูงถึง 17% ของมูลค่าการค้าขายทั้งหมด)
**ริงกิตอ่อนค่าปี 2565 จากดอกเบี้ยที่แท้จริงที่ต่ำสุดในภูมิภาค**
หากเราดูมูลค่าของริงกิตเทียบกับสกุลเงินภูมิภาคจะพบว่าค่าเงินริงกิตมีทิศทางอ่อนค่าแม้เทียบกับเงินสกุลภูมิภาคด้วยกันเอง เช่น สกุลเงินเปโซฟิลิปปินส์ สกุลเงินบาท สกุลเงินหยวนของจีน หรือสกุลเงินรูเปียอินโดนีเซีย มาตั้งแต่ปี 2561 แล้ว ซึ่งเป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง (real interest rate) ของมาเลเซียที่อยู่ในระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับประเทศภูมิภาคอื่นๆ จากที่เคยอยู่สูงสุดในภูมิภาคในช่วงกลางปี 2561 ลดต่ำลงมากในช่วงปลายปี 2565จากอัตราเงินเฟ้อที่เร่งสูงขึ้น และถึงแม้ธนาคารกลางมาเลเซียจะพยายามปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่ช่วงกลางปี 2565 ถึงปี 2566 เพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อลงและช่วยพยุงค่าเงินริงกิต แต่ด้วยเศรษฐกิจมาเลเซียที่ยังอ่อนแอตามอุปสงค์โลก เนื่องจากเป็นประเทศที่พึ่งพาการค้าขายระหว่างประเทศในระดับสูง (สัดส่วนการค้าขายระหว่างประเทศต่อ GDP ของมาเลเซียสูงถึง 147% ของ GDP ซึ่งสูงเป็นอันดับต้นๆ ในภูมิภาครองจากเวียดนามเท่านั้น) ทำให้ธนาคารกลางสามารถปรับขึ้นดอกเบี้ยได้แค่ 1.25% เท่านั้น ซึ่งน้อยมากหากเทียบกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยของประเทศอื่นในภูมิภาค (ไม่รวมจีนที่เผชิญปัญหาวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศทำให้ธนาคารกลางจีนปรับลดดอกเบี้ยแทน)

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังนี้มาเลเซียถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งในฐานะประเทศที่อาจกลายเป็นฐานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ท่ามกลางความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน เนื่องจากมาเลเซียมีความพร้อมทั้งประสบการณ์กว่า 50 ปีในการประกอบ ทดสอบและบรรจุชิปมาก่อน แรงงานที่มีทักษะ และการสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งจะเห็นว่ามาเลเซียมีการเตรียมพร้อมและวางรากฐานดังกล่าวนี้มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 แล้ว และทำให้มาเลเซียพร้อมที่จะยกระดับบทบาทในห่วงโซ่อุปทานนี้ ซึ่งหากทำสำเร็จจะเป็นปัจจัยที่มาช่วยหนุนดุลบัญชีเดินสะพัดและค่าเงินริงกิตในระยะข้างหน้าได้

**ค่าเงินบาทจะเดินรอยตามค่าเงินริงกิตหรือไม่**

ตั้งแต่การแพร่ระบาดของ COVID-19 เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถึงแม้ปัจจัยหลักจะมาจากการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงของธนาคารกลางสหรัฐฯ จนทำให้สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่ามาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญสถานการณ์หลายอย่างที่คล้ายคลึงกับมาเลเซียจนชวนให้สงสัยว่า ค่าเงินบาทอาจจะไม่สามารถกลับไปที่ระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐเหมือนก่อน COVID-19 ได้อีก แต่กำลังจะเข้าสู่ระดับสมดุลใหม่ที่อ่อนค่าลงอย่างถาวรเหมือนค่าเงินริงกิตหรือไม่ โดยเฉพาะดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่มีแนวโน้มจะปรับลดลงถาวรตามความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออกที่แย่ลงของไทย 

ปัญหาด้านความมั่นคงทางพลังงานที่ไทยต้องพึ่งพาการนำเข้ามากขึ้นในอนาคตเมื่อแหล่งก๊าซธรรมชาติในประเทศกำลังจะหมดลง หรือแม้กระทั่งดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่หลังพ้นช่วง COVID มาก็ปรับขึ้นได้ไม่มากเนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้าจากผลกระทบของปัจจัยเชิงโครงสร้างหลายประการ รวมทั้งระดับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งหลายเหล่านี้จะเป็นปัจจัยกดดันค่าเงินบาทให้อ่อนค่าในระยะยาว หากไทยยังไม่มีแผนที่เป็นรูปธรรมมาดำเนินการ ซึ่งในกรณีของมาเลเซียก็แสดงให้เห็นแล้วว่าการจะแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายและอาจต้องอาศัยระยะเวลายาวนาน
กำลังโหลดความคิดเห็น