หุ้นกลุ่มถุงมือยาง เริ่มกลับมามีชีวิตวาอีกครั้ง หลังจากทรุดหนักต่อเนื่องหลายปี โดยเฉพาะหุ้นบริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ซึ่งเคยรุ่งเรืองสุดขีด ระหว่างปี 2563-2564 หรือช่วงวิกฤตโควิด และนักลงทุนแห่เข้าไปเก็งกำไรอย่างมืดฟ้ามัวดิน ก่อนจะล้มตายกันเป็นเบือ
วิกฤตโควิค ทำให้ปริมาณความต้องการใช้ถุงมือยางสูงขึ้นทั่วโลก จนผลิตไม่ทันขาย ต้องขายกำลังผลิตกันอุตลุด แต่หลังจากจีนขายพื้นที่การปลูกยาง และตั้งโรงงานผลิตถุงมือยาง และส่งผลผลิตตีตลาดทั่วโลก
ขณะที่สถานการณ์โควิดคลี่คลาย ทำให้ความต้องการถุงมือยางลดลง และราคาตกต่ำ ผลประกอบการหุ้นกลุ่มถุงมือยางจึงชะลอตัวอย่างฉับพลัน ราคาหุ้นถลุ่มถุงมือยางทรุดฮวบ และหมดความสนใจจากนักลงทุน
STGT เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 2 กรกฏาคม 2563 โดยเข้าหุ้นมาในจังหวะที่ดีมาก เพราะธุรกิจผลิตถุงมือยางอยู่ในช่วงขาขึ้น ตลาดมีความต้องการสูง และสินค้าขายได้ราคา
หุ้น STGT เสนอขายนักลงทุนครั้งแรกในราคาหุ้นละ 34 บาท จากพาร์ 1บาท และร้อนแรงตั้งแต่วันแรงที่เข้าซื้อขาย ราคาหุ้นทะยานต่อเนื่อง จนเกือบทะลุ 100 บาท ก่อนจะมีการแตกพาร์เหลือ 50 สตางค์ เมื่อเดือนมกราคมปี 2564
ผลประกอบการ STGT เติบโตก้าวกระโดดต่อเนื่องหลายปีติดต่อ โดยปี 2564 เป็นปีที่กำไรสูงสุดเป็นประวัติการ มีกำไรสุทธิ 23,704.16 ล้านบาท แต่หลังจากนั้น กำไรชะลอตัวลง ปี 2565 กำไรสุทธิลดฮวบลงเหลือ 1,652.05 ล้านบาท และปี 2566 ทรุดฮวบเหลือกำไรสุทธิเพียง 152.69 ล้านบาท
ราคาหุ้น STGT ร่วงไม่เป็นท่า ลงมาม้วนเดียวหลายปีติดต่อ จนลงมาต่ำสุดเหลือเพียง 5.70 บาท โดยนักลงทุนรายย่อยที่แห่งเข้าไปเก็งกำไร ในยุดเฟื่องฟูของธุรกิจผลิตถุงมือยาง หนีออกกันไม่ทัน ติดหุ้นกันจำนวนมาก
เฉพาะหุ้น STGT มีนักลงทุนรายย่อย ติดดอย หรือติดหุ้นอยู่จำนวนทั้งสิ้น 60,316 ราย และคงค้างอยู่บนดอยตั้งแต่ปี 2564 และกัดฟันทนถือหุ้นอยู่ โดยหวังว่า สักวันธุรกิจผลิตถุงมือยางจะฟื้น ซึ่งช่วงนี้ สถานการณ์หุ้นกลุ่มถือมือยางเริ่มกระเตื้องขึ้นมาหน่อย
เพราะสต๊อกยางพาราคาของจีนลดต่ำลง ปริมาณการผลิตถุงมือยางลดลง ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ราคาจึงเริ่มปรับตัวขึ้น กระตุ้นให้หุ้นกลุ่มถุงมือยาง มีความเคลื่อนไหวในเชิงบวก โดยเด้งขึ้น ทำใสห้นักลงทุนที่ติดหุ้นไว้ เริ่มมีความหวัง แม้ราคาหุ้นยังห่างไกลจากจุดสูงสุดเดิมก็ตาม โดยเฉพาะ STGT
ค่า พี/อี เรโช ของ STGT ยังสูงมาก คืออยู่ที่ประมาณ 177 เท่า ขณะที่สิ้นปี 2565 อยู่ที่เพียง 8 เท่า อย่างไรก็ตาม STGT ยังจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ และมีอัตราเงินปันผลที่สูง โดยอยู่ที่ 5.29% ทำให้นักลงทุนที่ติดหุ้นอยู่ ได้รับการเยียวยา จากการประสบปัญหาขาดทุนจากราคาหุ้น และมีกำไรใจที่จะถือต่อ
ราคาหุ้น STGT เมื่อวันพุธที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมาปิดที่ 9.45 บาท ฟื้นตัวขึ้นมาจากจุดต่ำสุด และนักลงทุนกำลังคาดหวังผลประกอบการไตรมาสแรกปีนี้ ซึ่งอาจจะฟื้นตัวขึ้นตามสถานการณ์ธุรกิจถุงมือยางที่กระเตื้องขึ้น
แต่ไม่ได้คาดหวังสูงว่า ราคาหุ้น STGT จะพุ่งทะยานกลับไปสู่จุดสูงสุดเดิมภายในเร็ววัน เพียงแค่ราคาหุ้นกลับตัวสู่แนวโน้มขาขึ้น นักลงทุนที่ติดดอยอยู่คงใจชื้นขึ้นแล้ว
นักลงทุนจำนวนกว่า 6 หมื่นชีวิต ที่ติดอยู่บนดอย STGT ช่วงนี้มีชีวิตชีวาขึ้นหน่อย หลังจากหงอยสนิทมาหลายปี