นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK เปิดเผยว่า ผลประกอบการประจำปี 2566 เติบโตสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีกำไรสุทธิแตะ 303 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยมีรายได้อยู่ที่ 1,313 ล้านบาท โต 133% (YoY) เป็นผลมาจากความต้องการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่ยังเติบโตต่อเนื่อง แสดงให้เห็นชัดเจนผ่านการเติบโตในส่วนงานด้านบริการที่ปรึกษาเชิงลึกด้านดิจิทัลและพัฒนาเทคโนโลยีภายในองค์กร (Digital Excellence & Delivery) และบริการที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (Big Data & Advanced Analytics) รวมถึงความสำเร็จในการดำเนินแผนยุทธศาสตร์การสร้าง Synergy ระหว่างบริษัทในเครือ ที่ทำให้บริษัทสามารถรับงานได้มากขึ้น
ในส่วนของผลประกอบการไตรมาส 4 ประจำปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ (QoQ) และมีรายได้ 372 ล้านบาท เติบโตขึ้น 11% สำหรับ Backlog ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 มีมูลค่าราว 863 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้มาจากบลูบิค 709 ล้านบาท และบริษัทร่วมทุนอีก 154 ล้านบาท โดยในส่วนของบลูบิคเตรียมรับรู้รายได้ในปีนี้ 579 ล้านบาท และที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้หลังจากปี 2567 ในขณะที่บริษัทร่วมทุนจะรับรู้รายได้ทั้งหมดในปีนี้
“นับวันความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมยิ่งมีความซับซ้อนและหลากหลายมากขึ้น ดังนั้นการให้บริการที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันแบบครบวงจรของบลูบิคถือว่าเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขัน ยิ่งไปกว่านั้นแผนการข้างต้นไม่เพียงจะสนับสนุนการเติบโตของผลประกอบการ ยังทำให้บลูบิคสามารถรับงานขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนได้มากขึ้น และรองรับการขยายธุรกิจไปต่างประเทศที่มีศักยภาพ เช่น ประเทศเวียดนาม ที่เรามีแหล่งทรัพยากรบุคคล หรือ Tech Talent ศักยภาพสูง อีกทั้งยังคาดการณ์ว่ามีเม็ดเงินลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมในประเทศเวียดนามจะขยายตัวอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง” นายพชร กล่าวเพิ่มเติม
สำหรับปี 2567 แม้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนของภาคธุรกิจ แต่ความต้องการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันยังเติบโต เพราะการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมต้องทำอย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการเลือกใช้เทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์เทรนด์การทำธุรกิจ เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดความเสี่ยงและค่าใช้จ่าย พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ปรับแผนการดำเนินงานเพื่อให้สอดรับกับการพิจารณาใช้งบประมาณที่เคร่งครัดมากขึ้นของลูกค้า และในขณะเดียวกันสามารถสร้างการเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ด้วยเช่นกัน
ปรับโฉม - บัตรเครดิต กรุงศรี นำโดย นายสมหวัง โตรักตระกูล (ที่ 4 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด ร่วมกับ มาสเตอร์การ์ด นำโดย นายโจนาธาน วู้ด (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้จัดการประจำประเทศไทยและพม่า และพันธมิตรแบรนด์แฟชั่นและบิวตี้ชั้นนำ ปรับโฉม “บัตรเครดิต กรุงศรี เลดี้ ไทเทเนียม” ด้วยแนวคิด “เพราะความเป็นผู้หญิงคือสิ่งพิเศษ” เจาะกลุ่มผู้หญิงยุคใหม่และกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบแฟชั่น และความงาม มอบสิทธิพิเศษสุดคุ้ม เช่น รับเครดิตเงินคืน 7% ที่ ZARA, H&M, JASPAL, Pomelo, SEPHORA, EVEANDBOY และ Adidas, แบ่งชำระ 0% นาน 4 เดือน เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรตามเงื่อนไขในหมวดแฟชั่น แบรนด์เนม เครื่องสำอาง สปา คลินิกเสริมความงาม และรับเครดิตเงินคืน 1% ที่สถานีบริการน้ำมันบางจากที่ร่วมรายการ (เงื่อนไขตามที่บริษัทกำหนด) ตั้งเป้ายอดสมัครบัตรใหม่ 30,000 ใบ ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้น 2,000 ล้านบาท ภายในปี 2567