"เอพี ไทยแลนด์" ชี้ปี 67 เป็นปีของตัวจริงที่มีความพร้อมครบ 5 มิติ เน้นย้ำภาคธุรกิจต้องให้ความสำคัญการบริหารกระแสเงินสด มั่นใจศักยภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง เครดิตไลน์สถาบันการเงิน 12,000 ล้านบาท เงินลงทุนจากพันธมิตรผ่านบริษัทลูกกว่า 12,000 ล้านบาท และ 200 โครงการที่จะหนุนรับรู้รายได้กว่า 53,700 ล้านบาท เดินหน้าลงทุนต่อ เปิด 48โครงการ มูลค่า 58,000 ล้านบาท พร้อมนำร่องโปรเจกต์พัฒนาคฤหาสน์หรู THE PALAZZO หลังละ 100 ล้านบาท ปักหมุดกรุงเทพกรีฑาและปิ่นเกล้า ขึ้น 6 คอนโดฯ ใหม่ รับการฟื้นตัวอย่างชัดเจน
นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ "AP " กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 67 ว่า ยังถือมีความท้าทายรออยู่อีกมาก และเชื่อว่าจะเป็นอีกปีที่ไม่ได้ง่าย ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจากปีที่แล้วอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในภาพระบบเศรษฐกิจโลกที่เกิดจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนภาพความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจไทย
"ปีนี้ถ้าเปรียบไปแล้วเหมือนกับ 'ถนนที่ขรุขระ' เต็มไปด้วยความไม่รู้ ความคาดไม่ถึงเยอะมาก เหมือนเรากำลังวิ่งอยู่บน Off road เครื่องยนต์ในการที่จะเข้ามาผลักดันจากปัจจัยภายนอกยังติดไม่เต็มที่ มีหลายสิ่งที่จะลากและดึงเราไปได้ ไม่ว่าจะเป็นของเศรษฐกิจ ยังไม่แน่ใจว่าจะเติบโตในระดับร้อยละ 2 หรือร้อยละ 2.5 หรือร้อยละ 2.6 ก็ยังไม่ชัดเจน หรือแม้แต่เรื่องการเพิ่มลดอัตราดอกเบี้ยก็ไม่รู้ และยังต้องรอนโยบายจากภาพใหญ่จะเป็นอย่างไรบ้าง และสำคัญที่สุด คือ เรื่องหนี้สินภาคครัวเรือนในระดับที่สูงถึงร้อยละ 90 เป็นปัจจัยที่ดึงมากกว่าจะเป็นแรงผลักให้เศรษฐกิจเติบโต"
ดังนั้น การดำเนินธุรกิจในปีนี้ยังคงต้องเป็นไปแบบระมัดระวัง และสิ่งที่สำคัญสุดที่จะทำให้องค์กรเดินไปอย่างไม่สะดุด ท่ามกลางแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจ คือ การรักษาเสถียรภาพทางการเงินให้แข็งแกร่ง ผ่านความเข้มงวดในวินัยทางการเงิน เพื่อนำมาสู่สภาพคล่องทางการเงินที่คล่องตัวและมากเพียงพอที่จะสนับสนุนธุรกิจในระยะยาว ซึ่ง ณ สิ้นปี 2566 เราสามารถรักษาสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่ 0.79 เท่า
โดยปีนี้ถือเป็นปีของตัวจริง บริษัทที่จะไปต่อได้จำเป็นต้องมีความพร้อมใน 5 มิตินี้ คือ 1) การบริหารจัดการกระแสเงินสด ที่ส่งผลต่อเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือขององค์กร ซึ่งเราเชื่อว่าวันนี้เรามีความเข้มแข็ง มีเสถียรภาพทางการเงิน และสภาพคล่องที่เพียงพอ ทั้งจากวงเงินสินเชื่อพร้อมเบิกใช้จากสถาบันการเงิน วงเงิน 12,700 ล้านบาท เม็ดเงินลงทุนจากพันธมิตรทางธุรกิจอย่าง มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ผ่านทุนจดทะเบียนบริษัทลูกที่มากถึง 12,619 ล้านบาท สำหรับการลงทุนพัฒนาคอนโดมิเนียมในประเทศร่วมไปกับเอพี และรายได้จากการขายและโอนอสังหาฯ (Cash inflow) ที่กระจายความเสี่ยงไปในทุกเซกเมนต์กว่า200 โครงการ ตามเป้าหมายการรับรู้รายได้ในปีนี้มูลค่าสูงถึง 53,700 ล้านบาทที่จะทยอยเข้ามาต่อเนื่อง
2) การกระจายพอร์ตสินค้าที่หลากหลาย และครอบ คลุมทุกเซกเมนต์ของตลาด 3) People-Structure-Process การบริหารจัดการคน โครงสร้างองค์กร และโพรเซสการทำงานที่แม่นยำ เพื่อสนับสนุนต่อการทำงานที่รวดเร็วทันทุกการเปลี่ยนแปลง
4) การมีพันธมิตรทางธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจก้าวสู่ความเป็นหนึ่ง และ 5) ซัปพลาย เชน แมเนจเมนต์ ที่พร้อมสนับสนุนให้การเติบโตของธุรกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ตามแผนการพัฒนาและส่งมอบโครงการ
นายวิทการ กล่าวถึงการลงทุนและพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2567 ว่า บริษัทตั้งเป้ามีโครงการเอพีพร้อมขายอยู่ทั่วประเทศ จำนวน 212 โครงการ โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 51,390 ล้านบาท ด้านรายได้รวมจากสินค้ากลุ่มแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ สูงถึง 48,757 ล้านบาท และเป็นปีที่ 4 มีผลกำไรสุทธิมากถึง6,054 ล้านบาท
ทั้งนี้ เป้าหมายการกระจายพอร์ตสินค้าทั่วประเทศไทย 212 โครงการนั้น ประกอบด้วยการเปิดตัวสินค้าใหม่ในปีนี้ จำนวน 48 โครงการ มูลค่า 58,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 15 โครงการ มูลค่า 23,000 ล้านบาท ทาวน์โฮมและบ้านแฝด จำนวน 23 โครงการ มูลค่า 19,300 ล้านบาท คอนโดฯ 6 โครงการ มูลค่า 12,500 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 4 โครงการ มูลค่า 3,200 ล้านบาท และโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย (ongoing projects) จำนวน 164 โครงการ ซึ่งจะเป็นคีย์สำคัญในการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง
ในกลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 15 โครงการ มูลค่า 23,000 ล้านบาท โดยมีแผนเดินหน้าเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ในตลาด Super Luxury ระดับราคา 100 ล้านบาท ด้วยการพัฒนาสินค้าแบรนด์ THE PALAZZO ให้เป็นคฤหาสน์หรูในบริบทใหม่ พื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า 1,000 ตารางเมตร ใน 2 ทำเล อย่างกรุงเทพกรีฑาและปิ่นเกล้า และแบรนด์บ้านกลางกรุง ราคา 50-60 ล้านบาท บ้านเดี่ยวในเมือง ในทำเลสาธุประดิษฐ์ ซึ่งทั้งหมดพร้อมจะเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังนี้
ด้านกลุ่มธุรกิจทาวน์โฮมและบ้านแฝด เปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 23 โครงการ มูลค่า 19,300 ล้านบาท โดยมีโครงการบ้านแฝด เปิดจำนวน 7 โครงการ
สำหรับตลาคอนโดฯ ซึ่งจะเป็นปีที่เริ่มกลับมาฟื้นตัว (รีบาวนด์) และเชื่อว่าอีกไม่นานภาพตลาดคอนโดฯ ไทยจะกลับคืนสู่จุดเดิมก่อนเผชิญสภาวะวิกฤตโรคระบาด โดยในปีนี้จะเปิด 6 คอนโดฯ ใหม่ มูลค่า 12,500 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้กลุ่มธุรกิจคอนโดฯ จะชูแบรนด์ LIFE และ ASPIRE เป็นคีย์สำคัญในการพัฒนาโครงการ โดยมี LIFE เจริญนคร-สาทร และ ASPIRE ห้วยขวางเป็นไฮไลต์เด็ดของปี นอกจากนั้นแล้ว ยังเตรียมรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ 3 คอนโดฯ พร้อมอยู่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 11,500 ล้านบาท