สหมิตรถังแก๊ส เผยทิศทางธุรกิจปี 2567 ฟื้นตัว ออเดอร์ตลาดต่างประเทศไหลกลับมาแล้ว มั่นใจผลไตรมาสแรกเป็นไปตามเป้าหมาย ตั้งธงยอดขายถังแก๊ส 6.8 ล้านใบ ล่าสุดพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่สำเร็จแล้ว คาดอนาคตเติบโตได้ดี ล่าสุดบุ๊คงบงวดปี 2566 มียอดขายรวมอยู่ที่ 3,810.87 ลบ. มีกำไรสุทธิ 371.24 ลบ.เตรียมจ่ายปันผล0.21 บาท
นางปัทมา เล้าวงษ์ รองประธานกรรมการ บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) หรือ SMPC ประกอบธุรกิจผลิตถังทนความดันแบบต่างๆ โดยผลิตภัณฑ์หลักเป็นถังสำหรับบรรจุแก๊สปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงหุงต้ม และสำหรับใช้เป็นแหล่งพลังงานรถยนต์ โดยจำหน่ายภายในและต่างประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้า “SMPC” รวมทั้งรับจ้างผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าต่างๆ เปิดเผยว่า แผนธุรกิจในปี 2567 บริษัทคาดยอดขายจะเติบโตกว่า 20% จากปี 2566 โดยตั้งเป้าขายถังแก๊สไว้ที่ 6.8 ล้านใบ ปัจจุบันคำสั่งซื้อเริ่มกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เชื่อมั่นว่าจะเห็นแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง
โดยภาพรวมดีมานด์เริ่มกลับมาตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา เช่น ในทวีปเอเชีย เนื่องจากบางประเทศมีนโยบายปรับเปลี่ยนเก็บภาษีนำเข้าวัตถุดิบสูงขึ้น ทำให้เราได้ประโยชน์จากลูกค้าเก่ากลับมาซื้อถังแก๊ส และชื่อเสียงของ SMPC ได้รับการยอมรับที่ดี
นอกจากนี้ บริษัทได้ขยายตลาดใหม่ๆ เพิ่มเติม เช่น ในทวีปยุโรปและอเมริกาใต้ นอกจากนี้ยังมีประเทศในแถบแอฟริกาที่ยังมีโอกาสการเติบโตอีกมาก ขณะที่ตลาด CLMV ก็มียอดขายดีขึ้นเช่นกัน และในปีนี้ตลาดตะวันออกกลางเป็นตลาดที่น่าสนใจ จากการที่รัฐบาลไทยและซาอุดิอารเบีย มีการจับมือ Business Matching ซึ่งเป็นผลดีต่อ SMPC ในการรุกตลาดตะวันออกกลางมากขึ้น ซึ่งการขยายตลาดในทุกภูมิภาคของโลกเพื่อลดการกระจุกตัวและเป็นการกระจายความเสี่ยง
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ งวดปี 2566 บริษัทฯ มียอดขายรวมอยู่ที่ 3,810.87 ล้านบาท โดยยอดขายลดลง 1,437.15 ล้านบาท หรือลดลง 27.4% จากปีก่อน มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 371.24 ล้านบาท ลดลง 457.64 ล้านบาท หรือลดลง 55.2% จากปีก่อน สาเหตุที่ยอดขายและกำไรลดลง เนื่องจากลูกค้าชะลอการสั่งซื้อจากสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่หดตัวทำให้ความต้องการซื้อถังใหม่ลดลง ส่งผลให้อัตราการทำกำไรลดลงจากการแข่งขันทางด้านราคาที่รุนแรงขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เร่งปรับนโยบายและกลยุทธ์ในการขาย โดยเน้นเพิ่มการขายผลิตภัณฑ์ถังความดันต่ำประเภทอื่นๆ เพิ่มเติม นอกเหนือจากถังแก๊สสำหรับใช้ตามครัวเรือนที่เป็นผลิตภัณฑ์หลักในปัจจุบัน เพื่อเพิ่มอัตราการทำกำไร พร้อมกับเร่งเข้าไปทำตลาดในภูมิภาคที่หลากหลายเพิ่มขึ้น ทำให้ปัจจุบันคำสั่งซื้อเริ่มกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่สำเร็จ ซึ่งได้การรับรองมาตรฐานและได้รับคำสั่งซื้อมาบางส่วนแล้ว คาดว่าจะเติบโตได้ดีในอนาคต
ทั้งนี้ เพื่อสะท้อนความเชื่อมั่นและตอบแทนผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานงวดปี 2566 ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในอัตราหุ้นละ 0.42 บาท ซึ่งได้จ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้วสำหรับงวด 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.21 บาท เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2566 ยังเหลือเงินปันผลจ่ายสำหรับงวด 1 กรกฎาคม - 31 ธันวาคม 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.21 บาท หรือคิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นไม่เกิน 113 ล้านบาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ 5 เมษายน 2567 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 26 เมษายน 2567