ลลิลฯ มั่นใจเศรษฐกิจไทยขาขึ้น ประกาศแผนธุรกิจปี 2567 เดินหน้าขยายธุรกิจสู่การเป็น National Property Company มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีแผนเปิดอีก 8-12 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 7,000–8,000 ล้านบาท ขยายไปยังทำเลที่มีศักยภาพใหม่ๆ พร้อมตั้งเป้ายอดขายที่ 6,550 ล้านบาท มียอดรับรู้รายได้ที่ 5,250 ล้านบาท งบการจัดซื้อที่ดิน 1,500 ล้านบาท
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงเศรษฐกิจไทยในปี 2567 นี้ คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ราว 2.5-3.5% แต่ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง ทั้งปัจจัยจากต่างประเทศและในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในหลายประเทศสำคัญทั่วโลก มาตรการกระตุ้นและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ในขณะที่ภายในประเทศ ภาระหนี้สาธารณะ และภาระหนี้ครัวเรือนที่ค่อนข้างสูงยังคงเป็นความท้าทายสำหรับในปี 2567 นี้
"มองว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 นี้ยังคงมีปัจจัยบวก ไม่ว่าจะเป็นการที่อัตราดอกเบี้ยเริ่มนิ่ง และมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงได้ในช่วงครึ่งหลังของปี จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย การต่ออายุมาตรการภาครัฐ ลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าธรรมเนียมจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ไปถึงสิ้นปี 2567 การส่งออก และการท่องเที่ยวที่น่าจะดีขึ้น รวมถึงการเข้ามาลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น จะช่วยให้เกิดการจ้างงาน และเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ"
ทั้งนี้ ยังคงเชื่อมั่นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะตลาด Real Demand ยังคงไปได้ โดยบริษัทจะเน้นการดำเนินธุรกิจ และการขยายธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ และเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นอย่างดี โดยในปี 2567 นี้บริษัทวางงบในการซื้อที่ดินไว้ที่ 1,500 ล้านบาท โดยมีแผนเปิดโครงการเพิ่มเติมที่ 8-12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000-8,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 6,550 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 5,250 ล้านบาท มีแบ็กล็อกที่รอบันทึกเป็นรายได้ปีนี้ 900 ล้านบาท โดยในปีที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายได้ 6,500 ล้านบาท อาจต่ำเป้าเล็กน้อย เนื่องจากธนาคารเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ส่งผลให้ตัวเลขปฏิเสธสินเชื่ออยู่ระดับ 30%
"ปีนี้เรามองว่าอสังหาฯ ยังมีการเติบโตได้ แต่เรายังต้องการ์ดสูงอยู่ เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า และยิ่งในหลายประเทศจะมีการเลือกตั้งผู้นำประเทศใหม่ โดยปีนี้ ลลิลฯ อาจ Down Size ลงเล็กน้อย เช่น ครึ่งปีแรกจะมีการเปิด 5-6 โครงการก่อน หลังจากนั้นจะประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทย ดูการเมืองจะมีการปรับตำแหน่งหรือไม่ การปรับลดขนาดการพัฒนาโครงการ จาก 40-50 ไร่ต่อโครงการ ลงมาเหลือ 20-30 ไร่ เพื่อบริหารกระแสเงินสดไม่ให้เงินจม" นายไชยยันต์ กล่าว
ด้าน นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีนี้ ลลิลฯ ยังคงเน้นย้ำแนวคิดในการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าโดยยึดหลัก Customer Centric ผ่านกลยุทธ์ทั้ง Lifestyle Marketing และ Experience Marketing เสริมประสิทธิภาพด้วยการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ โดยการทำ Brand collaboration เพื่อเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ อีกทั้งสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในทุกกลุ่มเป้าหมายด้วย
ในส่วนของสถานะทางการเงิน บริษัทดำรงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.76 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 1.45 เท่าค่อนข้างมาก โดยบริษัทมีการใช้แหล่งเงินทุนที่หลากหลาย และการบริหารความเสี่ยงทางการเงินอย่างรัดกุมมาโดยตลอด จึงได้รับความเชื่อมั่นจากสถาบันการเงิน ทั้งธนาคารพาณิชย์ และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนต่างๆ จึงไม่ประสบปัญหาในเรื่องของแหล่งเงินทุน รวมทั้งธนาคารพันธมิตรหลายแห่งมีการเปิดวงเงินเครดิตรวม 2,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทได้มีการออกขายหุ้นกู้อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.80% ซึ่งได้รับการตอบรับจากสถาบันเข้าลงทุนเต็มจำนวนที่ 500 ล้านบาท