บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE ตกเป็นข่าวใหญ่อีกครั้ง หลังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สั่งให้จัดทำและส่งความเห็นของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ เกี่ยวกับการเพิ่มทุนจาก 358.84 ล้านบาท เป็น 1,435.35 ล้านบาท
คณะกรรมการ MORE เตรียมจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นวันที่ 19 มกราคมนี้ เพื่อเสนอวาระการเพิ่มทุน 21,530.24 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 5 สตางค์ เสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนในราคาหุ้นละ 5 สตางค์
พร้อมแจกใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสำคัญหรือวอร์แรนต์รุ่นที่ 3 ในสัดส่วน 2 หุ้นใหม่ต่อ 1 วอร์แรนต์ ราคาแปลงสภาพหุ้นสามัญ 1 บาท
ถ้าผู้ถือหุ้นลงมติเพิ่มทุน MORE จะเรียกชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนระหว่างวันที่ 21-23 และ 26-27 กุมภาพันธ์นี้ และถ้าผู้ถือหุ้นเดิมทั้งหมดใช้สิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน MORE จะได้เงินเข้าจำนวน 1,076.51 ล้านบาท
แต่ความหวังในการสูบเงินก้อนโตจากผู้ถือหุ้นครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว เพราะ ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์เข้ามาแทรกแซง ซึ่งเหมือนการส่งสัญญาณเตือนผู้ถือหุ้น MORE ให้ระมัดระวังการเพิ่มทุนก้อนโต
เพราะคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์เห็นว่า เป็นการเพิ่มทุนในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญ และมีราคาเสนอขายที่ต่ำกว่าราคาตลาด และยังมีคดีความของกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ อดีตผู้บริหาร และผู้ที่เกี่ยวข้องกับ MORE
นอกจากนั้น ผู้ถือหุ้น MORE ยังร้องเรียน เกี่ยวกับความเพียงพอของข้อมูลประกอบการตัดสินใจอนุมัติการเพิ่มทุน คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงสั่งให้ MORE จัดให้มีรายงานความเห็นจากบริษัทที่ปรึกษางบการเงินอิสระ หรือง IFA ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.ล.ต. โดยต้องมีข้อมูลความเหมาะสมของราคาและเงื่อนไขการเสนอขายหลักทรัพย์
ความสมเหตุสมผลและประโยชน์ของการเสนอขายหลักทรัพย์ รวมถึงแผนการใช้เงินที่ชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับผลกระทบที่อาจมีต่อผู้ถือหุ้น และคำแนะนำต่อผู้ถือหุ้นว่าควรลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในการเพิ่มทุน
MORE ต้องนำส่งรายงานความเห็นของ IFA ให้ผู้ถือหุ้นก่อนที่จะมีการประชุมผู้ถือหุ้น พิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุน เพื่อให้ผู้ถือหุ้นมีเวลาในการพิจารณาและศึกษาข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญที่มีความเป็นอิสระ
ถ้า MORE ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งข้างต้น คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจพิจารณาหยุดพักการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่ช่วงเวลาการซื้อขายถัดจากการที่ MORE จัดให้มีการประชุมและจะไม่พิจารณารับหุ้นสามัญที่ออกใหม่จากการเพิ่มทุน
MORE ตกเป็นข่าวฉาวโฉ่ในการเปิดปฏิบัติการปล้นโบรกเกอร์วงเงินประมาณ 4,500 ล้านบาท เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน 2565 โดยการโยนคำสั่งซื้อขายหุ้นจำนวน 1,531 ล้านหุ้น ในราคา 2.90 บาท ช่วงราคาเปิดซ้อขายครั้ง หรือ ATO โดยผู้ถือหุ้นผู้ขายเป็นกลุ่มที่มีสายสัมพันธ์โยงใยกัน ซึ่งตามแผนผู้ซื้อหุ้น MORE จะไม่ชำราคาค่าซื้อ ขณะที่ผู้ขายรับชำระค่าขายหุ้นจากโบรกเกอร์
แต่แผนปล้นโบรกเกอร์แตกเสียก่อน การชำระราคาค่าขายหุ้นถูกสั่งระงับ และมีการสอบสวนดำเนินคดีกับกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการปล้น จนมีการกล่าวโทษนายอมฤทธ์ กล่อมเจริญจิต หรือเสี่ยม้อ อดีตผู้บริหาร MORE ซึ่งปัจจุบันถือหุ้นใหญ่ใน MORE สัดส่วน 25.24% ของทุนจดทะเบียน โดยกล่าวโทษเสี่ยม้อ และพวกรวม 32 คน
การเพิ่มทุนครั้งนี้เป้าหมายอยู่ที่นักลงทุนรายย่อย ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 14,431 ราย โดยจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ระหว่างปี 2565-2566 ซึ่งเป็นช่วงที่หุ้น MORE ร้อนแรง มีการสร้างข่าวกระตุ้นราคาอย่างต่อเนื่อง โดยปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นวันที่ 16 มีนาคม 2565 ผู้ถือหุ้นรายย่อยมีจำนวนเพียง 6,039 ราย แต่ปิดสมุดทะเบียนวันที่ 15 มีนาคม 2566 จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยเพิ่มขึ้นใหม่อีก 8,392 ราย
ผู้ถือหุ้นรายย่อยที่จะใส่เงินเพิ่มทุน MORE มีความเสี่ยง เพราะผู้ถือหุ้นรายใหญ่อาจสละสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน และมีความเสี่ยงจากผลตอบแทนหุ้นใหม่ที่อาจคุ้ม
เพราะผลประกอบการ MORE ลุ่มๆ ดอนๆ งวด 9 เดือนแรกปี 2566 ขาดทุนสุทธิ 4.83 ล้านบาท และมีรายได้เพียงปีละ 100 ล้านบาทเศษ แต่กลับเพิ่มทุนสูบเงินจากผู้ถือหุ้นถึง 1,076 ล้านบาท
แม้ราคาหุ้นใหม่ที่เสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมจะกำหนดไว้เพียง 5 สตางค์ ซึ่งเมื่อเทียบกับราคาในกระดานล่าสุดที่ปิด 9 สตางค์ อาจสร้างแรงจูงใจการถมเงินเพิ่มใน MORE และมีวอร์แรนต์แถมมาล่ออีก
แต่ผู้ถือหุ้นรายย่อยส่วนใหญ่คงไม่มีใครใส่เงินเพิ่มทุน MORE สักเท่าไหร่
เพราะเจ็บหนักพอแล้ว จะเสี่ยงเจ็บหนักซ้ำสองไปทำไม แผนการเพิ่มทุนสูบเงินของ MORE ครั้งนี้จึงมีโอกาสล้มเหลวไม่เป็นท่า