xs
xsm
sm
md
lg

KBank Private Banking แนะกลยุทธปรับพอร์ตรับเศรษฐกิจเปลี่ยนทิศ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 67 ดีกว่าปีก่อน โดยสัญญาณต่างๆ เริ่มกลับเข้าสู่ช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนของตราสาร ตลาดต่างๆ กลับมาอยู่ในระดับปานกลาง รวมถึงสัญญาณความต้องการเข้าลงทุนอยู่ในระดับเพิ่มขึ้น ประกอบกับปัจจัยหนุนจากทิศทางดอกเบี้ยที่เห็นภาพขาลงที่ชัดเจนขึ้น จีงเชื่อว่าจะเป็นจังหวะที่เหมาะกับการออกไปลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนที่สูง จากช่วงก่อนที่ภาวะต่างๆ ไม่ค่อยเอื้ออำนวยมากนัก

แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ต้องระมัดระวังติดตามเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงจากเศรษฐกิจเดิมไปสู่เศรษฐกิจใหม่ ซึ่งหากใครปรับตัวไม่ทันอาจจะกลายเป็นผู้แพ้ ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ประเทศที่เข้าไปเกี่ยวข้องมากๆ อย่างจีน อาจจะมีความยากลำบากมากขึ้น และกระแส ESG ที่ยังคงอยู่ และจะมีความเข้มข้นขึ้น ธุรกิจที่ปรับตัวไม่ได้จะหนื่อยมาก และหาที่ยืนลำบากขึ้น ดังนั้น การกลับเข้ามาลงทุนจะยังคงต้องมีแนวทางในการจัดสรรที่ดีอยู่เช่นเดิม

นายโฮมิน ลี Senior Asia Macro Strategist Lombard Odier (Singapore) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะส่งผลดีต่อการลงทุน แม้จะเติบโตไม่สูง แต่ไม่มีสัญญาณการหดตัว หรือถดถอย จะเป็นในลักษณะ Sofe Landing รวมถึงแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงที่ชัดเจนขึ้น โดยคาดการณ์ว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 4 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปีนี้ หรือจาก 5.50% มาเป็น 4.50% และลดอีก 4 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปีหน้า เหลือ 3.50% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำ แต่ไม่ต่ำเท่าระดับก่อนโควิด-19 ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปค่อยๆ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเช่นกัน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้เงินลงทุนไหลเข้าตลาดตราสารหนี้มากขึ้น ขณะที่ตลาดหุ้นยังมีความท้าทายเพราะผลตอบแทนเทียบกับดอกเบี้ยไม่น่าดึงดูดเท่ายุคดอกเบี้ยต่ำ ดังนั้น การหาผลตอบแทนจากตลาดนี้จะต้องเน้นไปที่การคัดเลือกหุ้นที่โดดเด่น

"พร้อมกันนั้น ตลาดจะจับตาในเรื่องการเมือง โดยเฉพาะการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งผลที่ออกมาจะกระทบถึงความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและประเทศคู่ค้า รวมทั้งความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งดูจะคะแนนความนิยมแล้ว ขณะนี้อดีตประธานาธืบดีโดนัล ทรัมป์ มีมากกว่า ตรงนี้นโยบายสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนจะกลับมาเข้มข้นขึ้น ขณะที่ภาวะสงครามอาจจะเบาลง ซึ่งจะต้องติดตามใกล้ชิดเช่นกัน"

น.ส.ศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director,Financial Advisory Head,Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า กลยุทธฺการลงทุนปี 2567 นั้น Kbank Private Banking แนะนำให้แบ่งเงินลงทุนเพื่อสะสมและต่อยอดความมั่งคั่งในระยะยาวออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกประมาณ 50-70% ให้ลงทุนเป็นพอร์ตหลัก (Core portfolio) โดยเลือกกองทุนผสมแบบ Risk-based approach ที่กระจายความเสี่ยงทั้งในหุ้น ตราสารหนี้ โภคภัณฑ์ รวมทั้งค่าความผันผวน (VIX Index) ที่ใช้หลักการจัดการลงทุนอย่างเป็นระบบ มีกฎเกณฑ์ชัดเจน ไม่ขึ้นกับการคาดการณ์ของตลาดหรือผู้จัดการกองทุน โดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุนที่มีการบริหารเชิงรุกในการจัดสรรสินทรัพย์และการบริหารความเสี่ยง อย่างกองทุน All Roads Series ที่สามารถคุมระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนได้ท่ามกลางภาวะความผันผวน

ส่วนที่ 2 ประมาณ 30-50% เป็นพอร์ตเสริม (Satellite portfolio) โดยแบ่งการลงทุนในตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาลระยะยาวจากอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันที่อยู่ในระดับสูงโดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุน K-GDBOND และ TUSBOND รวมถึงหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตดี ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ขณะที่หุ้นกู้กลุ่ม High Yield (HY) อาจมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจชะลอตัวและมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องหลังต้นทุนดอกเบี้ยสูงขึ้น โดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุน UPINCM-N ลงทุนในตลาดหุ้น เช่น หุ้นกลุ่ม Growth ทั่วโลกที่จะได้รับผลดีจากดอกเบี้ยขาลง แนะนำให้ลงทุนในกองทุน K-CHANGE ขณะที่หุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) นอกจากจะได้ประโยชน์จากศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นแล้ว ยังได้รับแรงหนุนจากกระแสเงินทุนที่จะไหลเข้า หลัง FED ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย ทำให้ดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่า เป็นบวกต่อการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ โดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุน PRINCIPAL VNEQ และ K-INDIA และการลงทุนทางเลือก เช่น กลยุทธ์เฮดจ์ฟันด์ หรือลงทุนในสกุลเงินหลักของโลกที่ช่วยสร้างผลตอบแทนและกระจายความเสี่ยงได้

**เตือนหุ้นจีนยังเสี่ยงสูง**
นายจิรวัฒน์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันและในอนาคตสถานการณ์ต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป เช่น รอบวัฏจักรของเศรษฐกิจ 7 ปี จากเดิมจะดี 5 ปี แย่ 2 ปี จะเปลี่ยนเป็นช่วงที่แย่จะมากขึ้น ขณะที่ 5 ปีที่ดีนั้นจะมีดีบ้างร้ายบ้าง มีความผันผวนแทรกอยู่เป็นระยะๆ ดังนั้น การเลือกจังหวะ หรือ Timeing การเข้าลงทุนยากขึ้น เราจึงใช้กลยุทธ์ Invest All Time แต่มีกลไกในการจัดการบริหารความเสี่ยงที่ดี อย่างกองทุน All Road Series หรือกองทุนผสมที่กลไกในการกำหนดความเสี่ยงที่เหมาะสมในแต่ละช่วงสถานการณ์ ที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้นในอนาคต ซึ่งต่อไปการลงทุนอาจจะไม่ได้ให้น้ำหนักที่ภูมิภาค หรือประเทศมากที่สุด แต่จะให้ความสำคัญกับธุรกิจที่สามารถปรับตัวไปสู่ New Economic หรือ Sustainability ได้หรือไม่มากกว่า จึงไม่อยากให้ยึดติดการการคิดแบบเดิม เพราะสถานการณ์เปลี่ยนไป

"สิ่งที่เราติดตามใกล้ชิดอยู่คือ เศรษฐกิจจีนที่ยังชะลอตัว หุ้นจีนยังตกมาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021-2023 มาตรการกระตุ้นต่างๆ ที่ภาครัฐออกมาได้ผลแค่ระยะะสั้นๆ ยังไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กลับมาได้ และยังอาจจะได้รับผลจากสงครามการค้าที่เข้มข้นขึ้นหากการเลือกตั้งสหรัฐฯ ออกมาและมีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล ทำให้เกิดความกังวลว่าจีนอาจจะติดหล่มลึกลงเรื่อยๆ ซึ่งทางเราพิจารณาอยู่และอาจจะมีการแนะนำให้เลี่ยงไปก่อนได้ แต่ในขณะเดียวกัน จีนยังมีจุดแข็งที่เป็นประเทศที่ขนาดเศรษฐกิจใหญ่มาก มีเงินทุนสำรองมาก จึงยังมีกำลังที่จะผลักดันมาตรการออกมาอีกมากเช่นกัน เมื่อจีนกลับมาได้จะกลับมาเร็ว ตรงนี้นักลงทุนต้องชั่งน้ำหนักให้ดี"
กำลังโหลดความคิดเห็น