“โนโวแกรตซ์”จวกบิ๊กเจพีมอร์แกน ด้อยค่าบิตคอยน์-เชียร์แบนคริปโต

ไมค์ โนโวแกรตซ์ มหาเศรษฐีที่เป็นมิตรกับคริปโต วิจารณ์ยับ หลังเจมี ไดมอน ซีอีโอเจพีมอร์แกน ประกาศว่า ถ้าเป็นรัฐบาลจะแบนสกุลเงินดิจิตอล

โนโวแกรตซ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (ซีอีโอ) กาแล็กซี ดิจิตอล ยังเตือนสติไดมอนว่า บิตคอยน์มีผลงานดีกว่าหุ้นเจพีมอร์แกนเป็นไหนๆ

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้วระหว่างไปให้การกับคณะกรรมาธิการการธนาคาร การเคหะ และชุมชนเมืองของวุฒิสภาสหรัฐฯ เกี่ยวกับการกำกับดูแลในวอลล์สตรีท ไดมอนที่ตั้งป้อมวิจารณ์บิตคอยน์มานานพูดชัดถ้อยชัดคำว่า คริปโตควรถูกแบน เพราะเป็นเครื่องมือสำหรับอาชญากร พ่อค้ายา นักฟอกเงิน และพวกเลี่ยงภาษีเท่านั้น

ต่อมาเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว โนโวแกรตซ์ให้สัมภาษณ์ในรายการ “Squawk Box” ของซีเอ็นบีซี โดยบอกว่า มุมมองของไดมอนเกี่ยวกับบิตคอยน์ผิดพลาดมาตลอด และสำทับว่า ออกจะเป็นการทะนงตนขั้นสุดที่คิดว่า มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่รู้ดีว่า สินทรัพย์ใดมีค่า

ซีอีโอกาแล็กซี ดิจิตอลร่ายต่อว่า ลูกค้ามากมายของไดมอนเอง ตลอดจนถึงมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ในอเมริกาบางคนล้วนเชื่อมั่นว่า บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่เก็บรักษามูลค่าได้ ในจำนวนนี้รวมถึงอบิเกล จอห์นสัน ซีอีโอฟิเดลิตี้ อินเวสต์เมนต์ส, สแตนลีย์ ดรักเคนมิลเลอร์ นักลงทุนชื่อดัง และเรย์ ดาลิโอ ผู้ก่อตั้งบริดจ์วอเตอร์ แอสโซซิเอตส์ นอกจากนั้นนักลงทุนประเภทสถาบันและเฮดจ์ฟันด์เกือบทุกรายยังซื้อบิตคอยน์เก็บกันต่อเนื่อง เขาจึงสงสัยว่า ทำไมไดมอนถึงคิดว่า ตัวเองฉลาดกว่าคนเหล่านั้น

โนโวแกรตซ์สำทับว่า ไม่ว่าจะเมื่อปีที่ผ่านมา หรือ 5-10 ปีที่แล้ว ราคาบิตคอยน์ก็แรงกว่าราคาหุ้นเจพีมอร์แกนมาตลอด

เฉพาะปีนี้ราคาบีทีซีพุ่งไปแล้ว 161% เทียบกับ 17% สำหรับราคาหุ้นเจพีมอร์แกน ขณะที่ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาราคาบิตคอยน์ทะยาน 128% ส่วนหุ้นเจพีมอร์แกนบวก 28%

นอกจากนั้นแม้บิตคอยน์มีความผันผวน และมูลค่าลดลงจากสถิติสูงสุดตลอดกาลที่ทำไว้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 ถึงเกือบ 60% แต่โนโวแกรตซ์เชื่อว่า คนทั่วโลกเชื่อมั่นในบิตคอยน์และระบบนิเวศของชุมชนบิตคอยน์ และการเห็นว่า รัฐบาลของประเทศต่างๆ ไม่เฉพาะแต่อเมริกา ใช้จ่ายเงินมากไป ทำให้คนเหล่านั้นกำลังจะด้อยค่าเงินเฟียต

เขายังอ้างอิงลาร์รี ฟิงก์ ซีอีโอแบล็กร็อก ที่คาดหมายก่อนหน้านี้ว่า จะเห็นบิตคอยน์ในพอร์ตของนักลงทุนทุกราย

ซีอีโอกาแล็กซี ดิจิตอลย้ำว่า บิตคอยน์ทะยานขึ้นระลอกแรกช่วงต้นปีนี้จากวิกฤตการธนาคารในอเมริกาเป็นหลัก แต่การพุ่งขึ้นระลอกที่สองที่เริ่มต้นเมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมาเกี่ยวข้องกับการแข่งขันเปิดตัวกองทุน Bitcoin ETF