xs
xsm
sm
md
lg

ตลาดคริปโต & บล็อกเชน ในปี 2567 จะเป็น "สวรรค์ หรือ นรก" ของนักลงทุน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปิดฉากลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับงาน Blockchain Genesis 2023 งานรวมพลคนคริปโต และบล็อกเชนของไทย ภายใต้แนวคิด "ปิดฉากตลาดหมี ก้าวเข้าสู่ตลาดกระทิง" ที่จะฉายภาพการลงทุนในปี 2567 ท่ามกลางสงครามความขัดแย้ง เงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ย ที่จะเป็นสวรรค์ของโลกคริปโตเหมือนปี 2564 หรือ นรก ของโลกคริปโตในปี 2565

กลับมาที่เดิม แต่เพิ่มเติมคือจำนวนผู้ร่วมงาน Blockchain Genesis, Thailand Blockchain Week 2023 จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 6 ภายใต้แนวคิด “Build in Bear, Rise in Bull” เมื่อวันที่ 11-12 พ.ย. 2023 ที่ผ่านมา ณ สามย่านมิตรทาวน์ ฮอลล์ ชั้น 5 รวมถึง Side Events มากกว่า 50 งานใน Thailand Blockchain Week ระหว่างวันที่ 8-15 พ.ย. 2023 เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 5,000 คนถึงแม้จะเป็นช่วงตลาดหมี (ที่กำลังฟื้นตัว)

มหกรรมงานบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในไทย มาพร้อมกิจกรรมแจกของรางวัลมากมาย และเวทีที่ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำระดับประเทศและระดับโลกมากกว่า 170 ท่าน นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบการ ที่มาร่วมให้การสนับสนุนและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมคริปโตในประเทศไทย ซึ่งพูดชื่อไปแล้วไม่มีใครไม่รู้จักอย่าง HashKey Capital, 100x, Bitazza, Freedom, Coin98, Crown Token, Kasikorn X และ XSpring Digital ที่เป็นผู้สนับสนุนในปีนี้

เนื้อหาที่นำเสนอในงานครอบคลุมทุกมิติของเทคโนโลยีบล็อกเชน ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจทั่วไป นักพัฒนา และผู้ประกอบการที่ต้องการนำบล็อกเชนมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจ
 
การจัดงานทั้งสองวันมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 5,000 คน ที่มาร่วมกิจกรรมเยี่ยมชม 40 บริษัททั้งสปอนเซอร์และพาร์ทเนอร์ที่ร่วมออกบูทในงาน สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวและความสนใจในเทคโนโลยีบล็อกเชนในประเทศไทย ก่อให้เกิดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนความรู้ ความสนุกสนาน บรรยากาศในการสนทนาที่ก่อให้เกิดมิตรภาพและความร่วมมือในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ทางเทคโนโลยี ที่จะต่อยอดโอกาสในโลกสินทรัพย์ดิจิทัลได้อีกมากมายมหาศาล อีกทั้งยังมี โดยมีหัวข้อสัมมนาที่น่าสนใจอย่างมากมายกว่า 50 หัวข้อ ซึ่งเป็นความรู้ที่หาไม่ได้ทั่วไป Exclusive ให้กับทุกคนที่มาร่วมงานในครั้งนี้

"ศิธา ทิวารี" เปิดใจหมัดต่อหมัด!! เงินดิจิทัล 10,000 บาท ควรหรือไม่??

นาวาอากาศตรีศิธา ทิวารี อดีตเลขาธิการ และอดีตประธานคณะกรรมการอำนวยการและพัฒนาพรรคไทยสร้างไทย นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล นายสิทธิพล พรรณวิไล นักพัฒนาชื่อดัง ผู้ก่อตั้ง “Apetimism” และนายธีระชาติ ก่อตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามสแควร์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ “StockRadars” ร่วมแสดงความคิดเห็นบนเวทีโดยมีการทำผลสำรวจหากประชาชนได้เงินแล้ว คนส่วนใหญ่มักนำเงินไปทำอะไร พร้อมตีแผ่ข้อดี ข้อเสียนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท อย่างดุดัน โดยการทำงานของภาครัฐที่จะแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เป็นกลไกของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจรูปแบบของ Helicopter Money โดยการทำให้เงินที่แจกจ่ายถูกหมุนเวียนเป็นพายุทางเศรษฐกิจ โดยหากมีการใช้ระบบดังกล่าวในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ก็อาจเกิดได้ทั้งข้อดีและข้อเสีย

สำหรับข้อดี คือ
1. สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการให้เงินเริ่มขับเคลื่อนได้ มุ่งเน้นผู้ค้ารายย่อย เพื่อกระตุ้นให้เกิดรายได้อย่างทั่วถึง ตั้งแต่รากหญ้าจนถึงรายใหญ่


2. ทำให้ประชาชนมีทางเลือกที่มากขึ้นในการใช้จ่าย ทั้งเรื่องการบริโภคสิ่งที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน และทางเลือกเสริมที่ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


3. เริ่มมีการปรับตัวให้คนไทยมีความทันสมัยในการใช้งานของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ Blockchain อาจถูกนำมาปรับใช้จริงในการดำรงชีวิตประจำวัน เพื่อความง่ายและสะดวกสบายมากขึ้น

ด้านของข้อเสีย คือ

1. ความยุ่งยากในการใช้งานของกลุ่มคนที่ใช้เทคโนโลยีไม่คล่อง เช่น กลุ่มผู้สูงวัย กลุ่มผู้ที่อยู่ห่างไกลความเจริญ ความเหลื่อมล้ำที่แก้ปัญหาได้ยากจากตัวบุคคลและสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย

2. หากไม่มีการกำหนดประเภทการใช้งานของประเภทสินค้า ก็มีโอกาสที่เงินจะกระจายไปสู่ผู้ค้ารายใหญ่ ทำให้ไม่มีความไหลลื่นทางเศรษฐกิจ

ทั้งหมดคือผลกระทบทั้งดีและไม่ดีที่ต้องเกิดขึ้นในการปรับเปลี่ยนและการเริ่มต้นสิ่งใหม่ เมื่อเจอความชัดเจนของปัญหา เมื่อสรรหาวิธีการ เมื่อมีการวิเคราะห์พิจารณา ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงจะมีสิ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นและเกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิมเสมอ




หุ้น อสังหาฯ คริปโตฯ เลือกให้ถูก สินทรัพย์ไหนเหมาะกับใคร?

ขณะที่นายซีเค เจิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟาสต์เวิร์ค เทคโนโลยีส์ จำกัด (Fastwork) นายชัชวาลย์ วัฒนะโชติ นักลงทุนและเจ้าของเพจ Kim Property Live นายมานะ คานิโยว หัวหน้าฝ่ายบริหารงานขายและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด นายธํารงชัย เอกอมรวงศ์ (หยง) นักลงทุนอิสระ ต่างร่วมกันแชร์มุมมองต่อทรัยพ์สินต่าง ๆ โดยในงานมีการถกเถียงกันอย่างสร้างสรรค์ ป้ายยาทรัพย์สินอย่าง หุ้น คริปโทฯ อสังหาฯ ว่าเหมาะกับกลุ่มคนประเภทใด

นายชัชวาลย์ วัฒนะโชติ นักลงทุนและเจ้าของเพจ Kim Property Live เผย “อสังหาฯ เงิน ทองคำ เติบโตทุกปีมากกว่าดัชนีหุ้น สะสมรักษามูลค่าได้ บิทคอยน์ก็เช่นกัน บิทคอยน์ คือทรัพย์สินรูปแบบใหม่ที่จะเข้ามาในอนาคต”

ด้านนายซีเค เจิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟาสต์เวิร์ค เทคโนโลยีส์ จำกัด (Fastwork)“บิทคอยน์เป็นสิ่งที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นได้ เป็นสิ่งที่สร้างรายได้ให้กับเรา”

ขณะที่นายมานะ คานิโยว หัวหน้าฝ่ายบริหารงานขายและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด “บิทคอยน์ อสังหาฯ ทองคำ คริปโทเคอร์เรนซี รวมถึงสินทรัพย์อื่น ๆ ควรกระจายความเสี่ยงในสัดส่วนที่เหมาะสม แม้สินทรัพย์ใหม่การเปิดใจของคนโลกเก่าอาจทำได้ยาก สินทรัพย์แต่ละประเภทก็มีเสน่ห์ของมัน”

ส่วนนายธํารงชัย เอกอมรวงศ์ (หยง) นักลงทุนอิสระ “ศึกษาให้เข้าใจธรรมชาติของสินทรัพย์ตัวนั้น”ปัจจุบันโลกของการลงทุนเปิดกว้างมากขึ้น ทำให้มีการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เช่น หุ้น อสังหาฯ ทองคำ คริปโทเคอเรนซี บิทคอยน์ เป็นต้น ซึ่งสินทรัพย์เหล่านี้ถูกออกแบบให้เป็นทางเลือกในการลงทุน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามแผนการลงทุนและการกระจายความเสี่ยงในอนาคตให้กับพอร์ตลงทุนนั้น ๆ

“หุ้น” หากมองถึงการลงทุนในหุ้น ควรมองหาหุ้นที่ดีมีคุณภาพ ถึงจะมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง แต่ก็ควรมีลงทุนไว้บ้าง ในอนาคตหุ้นจะได้รับความนิยมลดลงหรือไม่ คำตอบคือ “ไม่” ถึงแม้ในปัจจุบันมุมมองความน่าเชื่อถือของตลาดหลักทรัพย์ของไทยลดน้อยลง ทำให้นักลงทุนมีความกลัวเกิดขึ้น ซึ่งมันเป็นเรื่องของความรู้สึกของผู้หาแนวทางลงทุน เพราะถ้าเทียบกับในอาเซียนแล้วหุ้นเอเชียแนวโน้มไม่ได้แย่ ทั้งนี้การถือหุ้นอาจจะเป็นจุดที่เสี่ยง แต่หากต้องการลงทุนในหุ้นควรเลือกหุ้นน้ำดี และควรศึกษาให้เข้าใจก่อนการลงทุน" นายธำรงชัย กล่าว

นอกจากนี้ “อสังหาริมทรัพย์” ถือเป็นทรัพย์สินในรูปแบบการลงทุนที่น่าสนใจ และตอบโจทย์กับนักลงทุนที่ไม่อยากใช้เงินลงทุนที่เยอะ อีกทั้งยังสามารถลงทุนและทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง หากวางแผนการลงทุนไว้อย่างเป็นระบบ

การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มีข้อดี คือ ไม่ต้องใช้เงินส่วนตัวลงทุนมาก สำหรับการลงทุนสามารถขายหรือปล่อยเช่าเพื่อให้ได้ส่วนต่างหรือกำไรกลับคืนมาได้ เนื่องจากราคาของอสังหาฯ เพิ่มขึ้นอยู่ตลอด ฉะนั้นการลงทุนในรูปแบบนี้ก็จะตอบโจทย์สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนน้อย และคาดหวังผลตอบแทนเป็นกำไรกลับคืนมา

ขณะที่ “คริปโตเคอร์เรนซี” (Cryptocurrency) หรือสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin Ethereum เองนั้น อาจจะยังจับต้องไม่ได้เหมือนทองคำหรือสินทรัพย์อื่น ๆ ส่วนใหญ่นักลงทุนซื้อเพื่อนำไปขายให้ได้ราคาที่มากขึ้น อีกทั้งยังมีความผันผวนสูง ส่งผลให้ยังไม่ได้เป็นที่รับรองอย่างเป็นทางการในการเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนในปัจจุบัน แม้ว่าสินทรัพย์ดิจิทัลจะสร้างโอกาสมากมาย แต่ก็มีข้อจำกัดที่นักลงทุนควรพิจารณาก่อนการลงทุน อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับความชอบและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของนักลงทุนอีกด้วย

สุดท้ายแล้วการลงทุนสินทรัพย์ไม่ว่าจะในรูปแบบไหน ควรมีการกระจายความเสี่ยง ควรมีพื้นฐานความรู้ ศึกษาให้เข้าใจธรรมชาติของสินทรัพย์ตัวนั้น และควรมีการวางแผนการลงทุน เลือกที่ตรงและเหมาะกับสไตล์ของตัวเอง เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและพร้อมรับมือความเสี่ยงของการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต


แนวทางรับมือ Bull Market!! วินัยการเงินคือสำคัญ!!

นายโฉลก สัมพันธารักษ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Choloke.Com นักลงทุนในตำนาน นายพีรพัฒน์ หาญคงแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุน (CIO) บริษัท คริปโตมายด์ แอดไวเซอรี่ จำกัด และนายกิตติทัศน์ เบญจเจริญพัฒน์ ผู้ก่อตั้ง I learn a lot ร่วมกันเผยวิสัยทัศน์ พร้อมคาดการณ์ถึงแนวโน้มตลาดคริปโทฯ ปี 2567 ว่าจะเป็น Bullrun หรือไม่?

โดยนายโฉลก สัมพันธารักษ์ หรือที่รู้จักกันในนาม “ลุงโฉลก” ได้เน้นย้ำถึงวินัยทางการเงิน (Money Management) พร้อมแนะนำถึงการลงบันทึกบัญชี และการแบ่งพอร์ตการลงทุนอย่างมีวินัย ทั้งนี้ยังได้กล่าวเสริมถึงปี 2567 ที่คาดว่ายังเป็นเพียง Bull ตั้งท้อง และปี 2568 ที่จะยังคงเป็น “กระทิงน้อย” (Baby Bull) ก่อนที่จะถึง Bull Run ของจริง

นายพีรพัฒน์ หาญคงแก้ว ได้แนะนำถึงตัวชี้วัด (Indicator) อย่าง MVRV ที่แสดงถึงมูลค่าตลาดเทียบกับมูลค่าจริงของ Bitcoin ซึ่งหาก MVRV ต่ำกว่า 2 เป็นโอกาสที่ดีในการได้ต้นทุนสินทรัพย์ที่ราคาถูกกว่านักลงทุนอื่น พร้อมแนะนำแนวทางการลงทุนส่วนตัวว่า “เริ่มที่บิทคอยน์ จบที่บิทคอยน์”

ส่วนนายกิตติทัศน์ เบญจเจริญพัฒน์ ได้ร่วมแชร์ถึงสภาวะตลาดที่ Bullrun จะมาอีกครั้งหรือไม่ จำเป็นต้องดูสภาวะและบรรยากาศในตลาดประกอบด้วย โดยนักลงทุนสามารถดูได้จาก NUPL (Net Unrealized Profit & Loss) ที่แสดงถึงสภาวะในตลาดว่าตอนนี้คนในตลาดขาดทุนหรือได้กำไร ซึ่งหาก NUPL ติดลบ นั่นย่อมแสดงว่าคนในตลาดเริ่มขาดทุน เป็นโอกาสที่ดีในการได้ต้นทุนสินทรัพย์ที่ราคาถูกกว่านักลงทุนอื่น ประกอบการตัดสินใจลงทุน

เจาะลึกกลยุทธ์การลงทุนของเหล่า Venture Capital ชื่อดัง

นางสาวพงษ์นิภา กมลนาวิน Head of Investment, KX และเหล่าผู้ประกอบการจากต่างชาติ มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ว่าเราควรเตรียมตัวให้พร้อมเข้าสู่ตลาดการลงทุน เมื่อสัญญาณตลาดกำลังเริ่มกลับมาสู่ช่วงเฟื่องฟู แม้ว่ายังอยู่ในช่วงตลาดหมีที่ใคร ๆ ก็ต่างหวาดกลัว แต่แท้ที่จริงแล้วช่วงเวลานี้ถือเป็นจังหวะของการลงทุนที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพื่อรอคอยการกลับมาของตลาดกระทิง

"จังหวะที่ง่ายในการลงทุนของตลาดหมี คือ มูลค่าของโมเดลในตลาดยังอยู่ในราคาที่สามารถร่วมลงทุนได้ง่าย เหมือนการซื้อสินค้าราคาถูก ไปขายในราคาที่แพง ซึ่งเป็นการเก็งกำไรส่วนต่างรูปแบบหนึ่ง ที่นักลงทุนยังคงถือไพ่เหนือกว่า และสถานการณ์ที่สภาพตลาดยังไม่มีแรงนั้น จึงมีโอกาสในการที่จะเลือกหยิบจับการลงทุนได้ง่ายกว่าสภาพตลาดที่ดี เหมือนกับนิยามของ วอเลน บัฟเฟตต์ ที่ว่า "จงกลัวในยามที่คนอื่นโลภ และจงโลภในยามที่คนอื่นกลัว" เพราะฉะนั้น จงเตรียมตัวให้พร้อมที่คุณจะกลับเข้าสู่ตลาดการลงทุนอีกครั้ง" นางสาวพงษ์นิภา กล่าว

ซึ่งการเริ่มต้นลงทุนที่ดี ไม่เพียงแต่เป็นการเลือกธุรกิจที่จะเข้าไปร่วมลงทุนเท่านั้น แต่ควรเริ่มต้นจากการลงทุนในตัวเอง การหาความรู้และการมี Community ที่แข็งแกร่ง จะช่วยให้สามารถอยู่ทำกำไรบนตลาดได้อย่างยั่งยืน เพราะสุดท้ายแล้ว ผลกำไรเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเติบโต และความสำเร็จ แต่การเรียนรู้ที่จะรักษาและบริหารเงินในการลงทุนถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุด ที่จะช่วยสร้างและปรับฐานคุณภาพชีวิตที่แข็งแกร่งให้กับคุณและครอบครัวของคุณ

Web3 อนาคตที่มากกว่าโลกไซเบอร์ ที่ใคร ๆ ต่างพูดถึง!!

Web3 กับธุรกิจยุคถัดไป โดย หมู ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ CEO SIX Network, ปิ๊ง ชญาภา จูตระกูล CEO และผู้ก่อตั้ง THE PINK LAB และ โดม เจริญยศ CEO Tokenine

Web 3 คือ นิยามของความ "คล่องตัว ว่องไว ประหยัด และปลอดภัย" การพัฒนาของโลกเศรษฐกิจและอินเตอร์เน็ตที่ปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการต่าง ๆ ต้องเรียนรู้และพัฒนาทักษาอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง

สำหรับ Web3 และ Blockchain ที่เดินทางมาสู่ประเทศไทยในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน เสมือนคู่หูที่เป็นฟังก์ชันของธุรกิจที่สร้างความคล่องตัว และดำเนินการข้อมูลที่รวดเร็วทันใจ ไม่ว่าจะเป็นการ การยืนยันตัวตน (KYC) ควบคู่กับการทำธุรกรรมด้านการเงินที่สั่ง API ได้ในชุดเดียว จึงทำให้ธุรกิจสามารถลดต้นทุนการดำเนินงานและการจัดการได้อย่างมหาศาล

โดยมุมมองที่มีโอกาสเติบโตอย่างทรงพลังด้านธุรกิจ คือ การนำธุรกิจเข้าสู่ Web3 การสร้างความ Premium, ความโดดเด่น, และความเป็นส่วนตัวของสินค้า อัพเกรดแบรนด์ผ่านโลกดิจิตอล ลดต้นทุนการดำเนินงาน การสื่อสารที่เข้าถึงผู้คนได้อย่างรวดเร็ว โดยการใช้คอนเทนต์ที่เป็นสื่อกลางในการสร้างสรรค์ผลงานขึ้น

ประเด็นหลักที่สำคัญในการใช้งาน คือ "เริ่มต้นจากบันไดขั้นแรกที่ถูกต้อง" ต้องเริ่มต้นเรียนรู้ ทำความเข้าใจกับ Web3 และ Blockchain เบื้องต้น ไม่ว่าจะเป็น Bitcoin ETH ในพาร์ทของการเทรด และการนำ Blockchain มาปรับใช้ในโลกของธุรกิจ

ในปัจจุบันมีบริษัทชั้นนำมากมายเปิดกว้างทางด้านธุรกิจที่มีการใช้พันธมิตร ที่มีความรู้ทางด้าน Web3 มาทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างเส้นทางของตลาดยุคใหม่ รวมถึงการศึกษาเนื้อหาข้อกฎหมายให้ทำธุรกิจแบบผสมผสานได้อย่างถูกต้องตามกระบวนการ เพื่อความสบายใจของผู้จัดทำและผู้ใช้งาน อีกไม่กี่ปีข้างหน้า ความก้าวหน้า ความเจริญ ชองตลาดดิจิทัลยุคใหม่แบบผสมผสานกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว

- มุมมองต่อภาพ Macroeconomics เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากตลาด asset global นั้นใหญ่กว่าตลาดคริปโทหลายเท่า ดังนั้นนโยบายทางการเงินจึงสามารถกำหนดทิศทางของตลาดการลงทุนทั่วโลกได้ว่าเป็นช่วง risk on หรือ risk off

- การศึกษา narrative เป็นเรื่องสำคัญที่สามารถทำให้นักลงทุนได้รู้ว่าเทรนด์ในตลาดคริปโทเป็นอย่างไร และได้วางแผนการลงทุนได้ถูกจังหวะ

- สิ่งที่สำคัญที่ใช้ประกอบในการตัดสินใจในการลงทุนอีกอันก็คือ indicators เช่น ข้อมูล on chain , market statistics ต่างๆ

อีกทั้งยังมีการยกสถานการณ์ออกมาเป็น 3 สถานการณ์ได้แก่

- ตลาดหมี: ในช่วงตลาดนี้แนะนำให้ถือ stablecoins ในสัดส่วน 60% และ large cap coins 40% และพยายามหาโอกาสในการใช้ผลตอบแทนเพิ่มจาก Stablecoins จากแพลตฟอร์มต่างๆ

- ตลาดไซด์เวย์: ถือสัดส่วน stablecoins 40% large cap 40% และ mid cap 20% และยังคงหาผลตอบแทนเพิ่มและ ทำรีเสิชมากขึ้นในการหาเหรียญที่เป็น GEM เพื่อลงทุนในช่วงตลาดขาขึ้น

- ตลาดขาขึ้น: ถือสัดส่วน large cap coin 20% mid cap coins 50% small cap 30% ช่วงนี้สามารถเพิ่มความเสี่ยงได้มากขึ้นโดยเพิ่มสัดส่วนของ Small cap มากขึ้นได้ และหาจังหวะ Take profit จาก indicator ต่างๆ

ในตอนสุดท้ายเหล่ากูรูการลงทุน ยังคงย้ำให้เน้นเรื่องจิตวิทยาการลงทุน ให้ลงทุนโดยใช้อารมณ์น้อยๆและเน้นในเรื่องระเบียบวินัยเป็นสำคัญ ไม่โลภตามกระแส และศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนที่จะลงทุน รวมถึงรีบตัดขาดทุนเมื่อการลงทุนติดลบตั้งแต่น้อยๆ เพื่อจะได้ไม่สูญเสียเงินก้อนส่วนใหญ่ในพอร์ตการลงทุน


กำลังโหลดความคิดเห็น