อินโดรามา เวนเจอร์ส ไตรมาส 3 ปีนี้มีรายได้จากการขาย 3.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 1% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และลดลง 20% ขณะที่มี EBITDA 324 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น และลดลง 37% เมื่อเทียบปีต่อปีก่อน ขณะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 410 ล้านเหรียญสหรัฐ
นายดีลิป กุมาร์ อากาวาล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL แจ้งผลงานไตรมาส 3 ว่าบริษัทมีรายได้จากการขาย 3.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 1 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และลดลงร้อยละ 20 เมื่อเทียบปีต่อปีก่อน ขณะที่มี EBITDA 324 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และลดลงร้อยละ 37 เมื่อเทียบปีต่อปีก่อน โดย IVL มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 410 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีสัดส่วนหนี้สินจากการดำเนินงานสุทธิต่อทุนเฉลี่ยเท่ากับ 0.97 เท่า ส่วนกำไรต่อหุ้น 0.00 บาท
ทั้งนี้ IVL มี EBITDA เท่ากับ 324 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 3 ปี 2566 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และลดลงร้อยละ 37 เมื่อเทียบปีต่อปี โดยได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และภาวะชะงักงันในตลาดโลกอย่างต่อเนื่องภายหลังการแพร่ระบาด ทั้งนี้ ปริมาณการขายลดลงร้อยละ 5 จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 3.6 ล้านตัน เนื่องจากการฟื้นตัวของประเทศจีนหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดยืดเยื้อกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงการขยายระยะเวลาในการระบายสต๊อกในภาคการผลิตและอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ที่ยังคงปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติจากระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการรักษากระแสเงินสด ตระหนักถึงการพัฒนาประสิทธิผล และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในฐานการผลิตของบริษัท เพื่อเพิ่มผลกำไร ความพยายามเหล่านี้ส่งผลให้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกเท่ากับ 410 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสดังกล่าว โดยมีกระแสเงินสดอิสระเป็นบวกจำนวน 79 ล้านเหรียญสหรัฐนับจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน และเพียงพอสำหรับการลดเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติมในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทยังคงอันดับเครดิตที่ระดับ AA- พร้อมคงแนวโน้มอันดับเครดิตคงที่จากทริสเรทติ้งในไตรมาสนี้
โดย IVL คาดว่าสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2567 ด้วยสถานการณ์ระบายสต๊อกสินค้าของลูกค้าปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจของอินโดรามา เวนเจอร์ส นอกจากนี้ การเร่งโครงการขยายของกลุ่มธุรกิจ PET และกลุ่มธุรกิจ Fibers ในประเทศอินเดียและสหรัฐอเมริกา จะส่งผลให้ปริมาณการขายในปี 2567 เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจ Combined PET มี EBITDA เท่ากับ 146 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 25 เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส ท่ามกลางอัตรากำไร PET ที่อยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ ราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นในตลาดตะวันตก และผลกระทบที่ยืดเยื้อจากการระบายสต๊อกสินค้า สำหรับกลุ่มธุรกิจ Integrated Oxides and Derivatives (IOD) มี EBITDA เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 เท่ากับ 119 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส
โดยได้รับแรงหนุนจากอัตรากำไร MTBE ที่แข็งแกร่งในธุรกิจ Integrated Intermediates ส่วนความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มผลิตภัณฑ์ Integrated Downstream ได้รับผลกระทบมาจากการระบายสต๊อกสินค้า แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และแรงกดดันด้านกำไรจากการนำเข้า ส่วนกลุ่มธุรกิจ Fibers มี EBITDA เพิ่มขึ้นร้อยละ 140 เท่ากับ 48 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส เนื่องจากปริมาณการขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์เพิ่มขึ้นในตลาดสำคัญในแถบเอเชีย และในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Mobility รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ Hygiene ซึ่งได้รับประโยชน์จากการที่ฝ่ายบริหารให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและการปรับโฟกัสขององค์กร
“ด้วยสภาพแวดล้อมที่ท้าท้ายต่อการดำเนินธุรกิจยังคงสงผลต่ออุตสาหกรรมของเรา การฟื้นตัวของรายได้ของเราจะมาจากการที่เรามุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจอย่างจริงจัง เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรและสร้างกระแสเงินสดอิสระที่เป็นบวก เราคาดว่าจะมีกำไรที่เพิ่มขึ้นในปี 2567 ท่ามกลางตลาดที่ค่อยๆ ฟื้นตัว เนื่องจากสถานการณ์ระบายสต๊อกสินค้าปรับตัวดีขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจของเรา และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศจีน ที่เริ่มส่งผลเชิงบวกต่อตลาดโลก อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่ท้าทายเช่นนี้ เรายังคงสานต่อการดำเนินงานเพื่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) และโครงการอีกหลากหลายเพื่อปรับเปลี่ยนการดำเนินงานของเรา ซึ่งรวมถึงความสำเร็จในการเริ่มใช้งานระบบบริหารทรัพยากรองค์กร (Enterprise Resource Planning: ERP) ที่ตอนนี้ครอบคลุมร้อยละ 80 ของรายได้ และความสำเร็จในการรีไซเคิลขวด PET ครบ 10,000 ล้านขวดนับตั้งแต่ปี 2554” นายดีลิป กล่าว